เศรษฐกิจเดนมาร์ก ในครึ่งแรกของปี 2566 เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย GDP เพิ่มขึ้น 0.6% (เติบโตติดต่อกัน 4 ไตรมาส) จากแรงหนุนของภาคการผลิตและสาธารณูปโภค โดยเฉพาะการผลิตในอุตสาหกรรมยาที่เพิ่มขึ้น 15% ในไตรมาส 1 และผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Novo Nordisk , Mærsk และบริษัทขุดเจาะน้ำมันและก๊าซจากทะเลเหนือ
เดนมาร์ก เป็นประเทศอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่ม (industrialized value-added country) พึ่งพาวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยปี 2564 นำเข้าสินค้าหลัก ได้แก่ เครื่องจักร (ไม่รวมอุปกรณ์ขนส่ง) 24.2% ผลิตภัณฑ์เบ็ดเตล็ด (Miscellaneous Manufactured Articles) 17.8% สัตว์มีชีวิต อาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ 13.8% สินค้าและสิ่งของจากการผลิต (Manufactured goods and articles) 13.6% จึงนับเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปมายังเดนมาร์ก นอกจากนี้ เดนมาร์กยังเป็นจุดกระจายสินค้าที่ดีสำหรับตลาดสแกนดิเนเวีย ยุโรปเหนือ และบอลติก
ในปี 2565 การค้าไทย-เดนมาร์ก มีมูลค่า 804.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากที่สุดของการค้าระหว่างเดนมาร์กกับกลุ่มประเทศอาเซียน สินค้าส่งออกของไทย ได้แก่ แผงสวิตซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและชิ้นส่วน เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและเครื่องครัว ของใช้ในบ้าน โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
ส่วนสินค้าหลักๆที่ไทยนำเข้าจากเดนมาร์ก ได้แก่ สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (หนังเฟอร์ดิบ หัว หาง อุ้งเท้า และชิ้นหรือส่วนตัดอื่น ๆ สําหรับใช้ในกิจการหนังเฟอร์) ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช
ด้านการลงทุน บริษัทชั้นนำของเดนมาร์กหลายแห่งเลือกไทยเป็นฐานการผลิต จากความได้เปรียบด้านที่ตั้งและความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่มาหลายทศวรรษ เช่น Pandora, Royal Copenhagen, George Jensen, Ecco, Danfoss, Grundfos, Maersk, Kvik Furniture และ M2 Animation
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเดนมาร์ก 2 บริษัทที่ลงทุนใน EEC ได้แก่ Mountain Top (Thailand) ผู้ผลิต aluminium roll cover สำหรับรถกระบะ และ LINAK APAC (ลิ นัก เอแพค) ผู้ผลิต electric linear actuator solutions สำหรับหลากหลายอุตสาหกรรม
บริษัทเดนมาร์กยังสนใจพัฒนาโครงการพลังงาน โดยมุ่งเน้นการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไทย ซึ่งเป็นการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2060
จะเห็นได้ว่าการทำธุรกิจของบริษัทเดนมาร์กมีความสำคัญโดดเด่นในไทย และช่วยสร้างงานให้คนไทยมากกว่า 5 หมื่นตำแหน่ง นอกจากนี้ หอการค้าไทย – เดนมาร์ก ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2535 ในปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 100 บริษัทและถือเป็นหอการค้าเดนมาร์กที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ในทางกลับกัน บริษัทชั้นนำของไทยได้ไปลงทุนในเดนมาร์กเช่นกัน อาทิ เครือเซ็นทรัล การบินไทย CPF ร้านอาหารไทย Blue Elephant และบริษัทอินโดรามา (Indorama) ซึ่งประกอบการทางด้านพลาสติก เป็นต้น
นอกเหนือจากการค้าการลงทุนทวิภาคีระหว่างไทยกับเดนมาร์กซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ภาคเอกชนไทยและเดนมาร์กยังกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นหุ้นส่วนใหม่ในสาขาที่มีความสำคัญกับอนาคต เช่น พลังงานสีเขียว และการผลิตอาหารและการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมาจากโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทยผนวกกับความเชี่ยวชาญของเดนมาร์กในสาขาต่าง ๆ ดังนี้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไทยเองสามารถใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าและความเชี่ยวชาญของเดนมาร์กข้างต้นเป็นการเพิ่มโอกาสและช่องทางความร่วมมือที่จะนำไปสู่ green strategic partnership ระหว่างไทยกับเดนมาร์กได้ต่อไปในอนาคต
คอลัมน์ ชี้ช่องจากทีมทูต เป็นความร่วมมือระหว่างฐานเศรษฐกิจ กับศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ globthailand.com กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ / ข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน