ความจริงแล้ว “คาซัคสถาน” เป็น ตลาดที่สำคัญสำหรับประเทศไทย ในฐานะที่เป็น “ประตูสู่เอเชียกลาง” นอกจากนี้ ยังสามารถขยายความร่วมมือด้านการค้าระหว่างกันได้อีกมาก และหากมองภาพรวมด้านเศรษฐกิจของคาซัคสถาน จะเห็นได้ว่าเป็นตลาดทางเลือกที่มีศักยภาพอย่างมาก เนื่องจากเหตุผล ดังนี้
1) บรรยากาศการค้า-การลงทุน (Trade and investment climate) โดยรวมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เน้นการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน และการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศการลงทุนให้เป็นไปในทิศทางบวก มีการเพิ่มการโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชน และลดบทบาทของการผูกขาด และผู้ผูกขาดส่วนแบ่งตลาดในระบบเศรษฐกิจ
2) เศรษฐกิจคาซัคสถานมีการเติบโตขึ้น โดยรัฐบาลคาซัคสถานได้แถลงเมื่อต้นปี 2566 ว่า เศรษฐกิจคาซัคสถานในปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2565) เติบโต 3.1% โดยสาขาที่เติบโตมากที่สุด คือ ภาคการก่อสร้างที่ขยายตัว 9.4% และภาคการเกษตร (9%) ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2566 ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจคาซัคสถานจะเติบโตที่อัตรา 3.5-4%
3) รัฐบาลคาซัคสถานมุ่งส่งเสริมประเทศให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียกลาง ซึ่งเห็นได้จากการจัดประชุมระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับศักยภาพในด้านการค้าและการลงทุนของคาซัคสถานให้แก่ภาคธุรกิจและเอกชนนานาประเทศ ทั้งนี้ เมื่อเดือน มิถุนายน พ.ศ.2566 ได้มีการจัด Astana International Forum เพื่อเป็นเวทีส่งเสริมการหารืออย่างสร้างสรรค์ในประเด็นสำคัญระหว่างประเทศ อาทิ (1) ประเด็นความเชื่อมโยงในภูมิภาคเอเชียกลาง (2) Global Supply Chain และ Food Security (3) Finance ที่มีความเชื่อมโยงกับความยั่งยืน เป็นต้น
4) การมีหน่วยงานที่ส่งเสริมเศรษฐสัมพันธ์ระหว่างคาซัคสถานและต่างประเทศ โดยทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ อาทิ (1) Kazakh Invest (2) Chamber of International Commerce of Kazakhstan (3) KazakhExport (4) Astana International Financial Center (5) President’s Foreign Investors Council
โดยตัวอย่างความสำเร็จของเศรษฐสัมพันธ์ระหว่างคาซัคสถานกับต่างประเทศสะท้อนได้จาก ผลการเยือนในภาคเอกชนของสิงคโปร์และเยอรมนี เมื่อเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน พ.ศ.2566 ตามลำดับ
คาซัคสถานนับว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ (strategic location) อยู่ในภูมิภาคเอเชียกลาง ระหว่างทวีปเอเชียที่มีตลาดใหญ่ เช่น จีน กับทวีปยุโรป โดยคาซัคสถานมีบทบาทสำคัญในยุทธศาสตร์ความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน เพื่อการพัฒนาเส้นทางโลจิสติกส์ทางบกและทะเลที่จะเชื่อมระหว่างจีนกับยุโรป รวมถึงการพัฒนาท่าเรือและเขตเศรษฐกิจพิเศษ
โดย เส้นทาง Trans-Caspian International Transport (TITR) หรือ The Middle Corridor จากจีนผ่านคาซัคสถานไปยังริมทะเลแคสเปียนที่มีท่าเรือสำคัญของคาซัคสถาน ได้แก่ ท่าเรือ Asktau
เส้นทาง International North-South Transport Corridor (INSTC) จากอิหร่านมายังคาซัคสถานทางรถไฟ (ผ่านเติร์กเมนิสถาน) หรือทางเรือในทะเลแคสเปียน ซึ่งเอกชนไทยสามารถใช้ขนส่งสินค้าจากไทยมายังคาซัคสถานผ่านเส้นทางนี้ได้
นอกจากนี้ ยังมีการขนส่งเส้นทางอื่น ๆ ในกลุ่มประเทศเอเชียกลางที่อาจจะเป็นตัวเลือกในอนาคตสำหรับโอกาสการค้าของไทยในคาซัคสถานและภูมิภาคเอเชียกลางโดยรวม ได้แก่ ทางรถไฟ China-Kyrgyzstan-Uzbekistan (CKU railway)
สินค้าไทยหลายประเภทมีศักยภาพและมีอุปสงค์ในตลาดคาซัคสถาน อาทิ
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 10-16 กันยายนที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา ได้ดำเนินโครงการสำรวจทรัพยากรและแร่ธาตุที่สำคัญในคาซัคสถานและทาจิกิสถานสำหรับใช้ในการผลิตเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งมุ่งส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยได้รู้จักกับตลาดแร่ อันจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายและช่องทางการค้าและการลงทุนที่สำคัญระหว่างภาคเอกชนของไทยกับคาซัคสถานและทาจิกิสถาน โดยเฉพาะสาขาที่สนับสนุนนโยบาย BCG ของไทยสำหรับการผลิตสินค้าเทคโนโลยีสะอาด อาทิ แผงพลังงานแสงอาทิตย์ (solar panels) กังหันลมผลิตไฟฟ้า (wind turbines) รถยนต์ไฟฟ้า (electric vehicles : EVs) และแบตเตอรี่ grid-scale
คอลัมน์ ชี้ช่องจากทีมทูต เป็นความร่วมมือระหว่างฐานเศรษฐกิจ กับศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ globthailand.com กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ / ข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา