นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า ได้รับข้อร้องเรียนจากสมาชิกสมาคมฯ ถึงความยากลำบากในการหาซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีการกักตุนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเรียกร้องราคาขยับสูงขึ้น มีเป้าหมายราคาสูงกว่า 13 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) จากปกติควรจะอยู่ที่ 11 บาท/กก.ในช่วงนี้ และขู่ว่าจะไม่ส่งข้าวโพดเข้าโรงงานอาหารสัตว์ที่ไม่มีทางเลือกอื่น ซึ่งเป็นผลจากมาตรการรัฐหลายมาตรการ จึงต้องร้องขอความช่วยเหลือด่วนที่สุดไปยังกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ให้เข้ามากำกับดูแล
ทั้งนี้การกักตุนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เอปั่นราคาสูง ผู้ไดรับประโยชน์คือกลุ่มพ่อค้าคนกลางเท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพราะเวลานี้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งหมดอยู่ในมือพ่อค้าคนกลางหมดแล้ว ซึ่งราคาข้าวโพดที่ขยับขึ้นแค่ กก.ละะ 1 บาท คิดเป็นเม็ดเงินที่โรงงานผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 5,000 ล้านบาท และจะเป็นภาระด้านต้นทุนของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ สถานการณ์เช่นนี้จะกลับไปใกล้เคียงกับเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาหรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่า ส่งผลให้เวลานี้ธุรกิจอาหารสัตว์ขาดทุนสะสมและมีการปิดโรงงานและขายกิจการไปแล้วหลายแห่ง ขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ก็ขาดทุนและเลิกเลี้ยงกันไปจำนวนมาก
นายพรศิลป์กล่าวอีกว่า สิ่งที่เอื้อประโยชน์ให้พ่อค้าคนกลางสามารถมีพฤติกรรมกักตุนข้าวโพดเพื่อเก็งกำไรได้มีหลายประการ อาทิ ผลผลิตข้าวโพดไทยมีแนวโน้มลดลง และจะออกสู่ตลาดอีกครั้งกลางเดือนกันยายน ช่วงนี้จึงเข้าสู่ภาวะขาดแคลนวัตถุดิบยาวนานกว่า 3 เดือน เปิดโอกาสให้มีการกักตุนสินค้า
ขณะที่โรงงานอาหารสัตว์ไม่มีทางเลือกในการนำเข้าวัตถุดิบทดแทน เพราะถูกบีบด้วย “มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ส่วน” (ซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน นำเข้าข้าวสาลีได้ 1 ส่วน) ด้วยข้อกำหนดให้ซื้อข้าวโพดภายในประเทศก่อน เพื่อนำไปใช้แลกนำเข้าข้าวสาลี แต่โรงงานไม่มีข้าวโพดเพียงพอ จึงเท่ากับถูกบังคับให้ซื้อข้าวโพดจากพ่อค้าในราคาที่ต้องการก่อน เป็นสาเหตุหลักให้พ่อค้าชะลอการส่งข้าวโพดเข้าโรงงานเพื่อดึงราคาให้สูงขึ้นอีก
ส่วนราคาวัตถุดิบทดแทนข้าวโพดปรับตัวสูงขึ้นจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ค่าระวางเรือ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว รวมถึงสถานการณ์เพาะปลูกข้าวสาลีที่มีแนวโน้มลดน้อยลง ส่งผลให้ราคาข้าวสาลีนำเข้าอยู่ที่ 12 บาท/กก. พ่อค้าคนกลางทราบถึงสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี จึงตั้งราคาขายข้าวโพดไว้ที่ 13 บาท/กก. สูงกว่าราคานำเข้าข้าวสาลี เพราะหากไม่ซื้อข้าวโพดก่อนก็ไม่สามารถนำเข้าข้าวสาลีได้
ขณะเดียวกัน จากนโยบายรัฐที่มุ่งแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยกระทรวงเกษตรฯ ผลักดันการหยุดรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการเผาแปลงปลูก ซึ่งสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยขานรับและสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ทำให้พ่อค้าเร่งทำการกักตุนข้าวโพด เพราะรู้ดีว่าข้าวโพดที่โรงงานจะรับซื้อได้นั้น จะมีปริมาณลดน้อยลง เพราะไม่สามารถซื้อข้าวโพดที่ผ่านการเผาแปลงได้
อย่างไรก็ดีการแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุดคือ กระทรวงพาณิชย์ต้องปลดล็อกมาตรการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ส่วนในทันที เพื่อให้มีปริมาณข้าวสาลีเข้ามาเป็นทางเลือก คลายความกดดันในด้านปริมาณที่ขาด และลดสิ่งที่เอื้อให้พ่อค้าคนกลางทำการกักตุนเก็งกำไร แม้ราคาข้าวสาลี ณ ตอนนี้จะสูงถึง 12 บาท/กก. ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเข้า มิฉะนั้นจะไม่มีวัตถุดิบที่จะใช้ในการผลิต ย้ำว่ากระทรวงพาณิชย์ ต้องดำเนินการในเรื่องนี้ “ทันที” เพื่อไม่ให้สายพานการผลิตหยุดชะงัก
นอกจากนี้ ต้องพิจารณาปลดมาตรการนำเข้าอื่น ๆ โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อรองรับนโยบายไม่รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการเผาแปลงปลูก ซึ่งจะทำให้ข้าวโพดที่ซื้อขายในระบบหายไปกว่า 2 ล้านตันด้วย
นายพรศิลป์ กล่าวตอนท้ายว่า“หากยังปล่อยให้สถานการณ์กักตุนนี้ยืดเยื้อต่อไป จะเกิดผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่การผลิตอาหารทั้งระบบ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ไม่สามารถประกอบอาชีพต่อได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เลี้ยงหมูรายย่อยที่ขาดทุนมาก่อนหน้า จากต้นทุนสูง และจากปัญหาหมูเถื่อน ที่สุดแล้วเศรษฐกิจชาติจะพังไม่เป็นท่า ไม่คุ้มเลยถ้าจะมัวอุ้มกลุ่มพ่อค้าคนกลางกลุ่มเดียวแบบนี้”