ซีพีเอฟ ยันไม่ใช่ต้นเหตุ แพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ระบุทำลายหมดแล้วเมื่อปี 54

16 ก.ค. 2567 | 08:20 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ค. 2567 | 09:03 น.

"ซีพีเอฟ" ชี้แจง ไม่ใช่ต้นเหตุปลาหมอคางดำเล็ดลอดสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และแพร่ระบาดอยู่ขณะนี้ เผยนำเข้ามาวิจัยตั้งแต่ปี 2553 และทำลายหมดแล้วในเดือนมกราคม 2554 หลังปลามีสุขภาพไม่แข็งแรงเหลือเพียง 50 ตัว และได้ทำลายซากไปแล้ว ย้ำพร้อมร่วมมือกรมประมงแก้ปัญหา

วันนี้ (16ก.ค.67) ศูนย์วิจัยและปรับปรุงพันธุ์ปลาภายใต้ซีพีเอฟ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงกรณี "ปลาหมอคางดำ" ว่า ทางศูนย์ฯยืนยันการดำเนินการตั้งแต่นำเข้าปลาหมอคางดำในเดือนธันวาคม 2553 จนถึงการทำลายซากปลาทั้งหมดในเดือนมกราคม 2554 เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนด ซึ่งมั่นใจว่ามีความรอบคอบทุกขั้นตอนไม่มีการเล็ดลอดลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และพร้อมสนับสนุนการทำงานภาครัฐในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่กำลังเป็นกระแสในสังคม

นายเปรมศักดิ์ วนัชสุนทร ผู้บริหารสูงสุดด้านการวิจัยและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เผยว่า ในส่วนงานสัตว์น้ำ ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ โดยได้มีการทบทวนย้อนหลังสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 14 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การนำเข้าในเดือนธันวาคม 2553 ถึงวันทำลายในเดือนมกราคม 2554 มั่นใจได้ว่าบริษัทได้ดำเนินการอย่างถูกต้องและด้วยความรอบคอบตามหนังสือชี้แจงที่ได้นำส่งไปยัง คณะกรรมาธิการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กมธ.) แล้ว

ทั้งนี้ บริษัทยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนหน่วยงานรัฐตามแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ด้าน ประกอบด้วย

1.ทำงานร่วมกับกรมประมงในการสนับสนุนให้มีการรับซื้อปลาหมอคางดำไปผลิตเป็นปลาป่น

2.ทำงานร่วมกับภาครัฐในการสนับสนุนการปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ

ซีพีเอฟ ยันไม่ใช่ต้นเหตุ แพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ระบุทำลายหมดแล้วเมื่อปี 54

3.สนับสนุนภาครัฐในการจัดกิจกรรมจับปลา

4.สนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำร่วมกับสถาบันการศึกษา

และ 5.สนับสนุนการวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ

สำหรับหนังสือชี้แจงไปยัง กมธ. มีรายละเอียด ดังนี้ :

ในปี 2553 บริษัทได้นำเข้าปลาจำนวน 2,000 ตัว ซึ่งพบว่ามีปลาสุขภาพไม่แข็งแรงและมีการตายจำนวนมากในระหว่างทาง ทำให้เหลือปลาที่ยังมีชีวิตแต่อยู่ในสภาพอ่อนแอเพียง 600 ตัว ซึ่งได้รับการตรวจสอบ ณ ด่านกักกันโดยกรมประมง ทั้งนี้เนื่องจากปลามีสุขภาพไม่แข็งแรง จึงมีการตายต่อเนื่องจนเหลือเพียง 50 ตัว บริษัทจึงตัดสินใจหยุดการวิจัยในเรื่องนี้ โดยมีการทำลายซากปลาตามมาตรฐานและแจ้งต่อกรมประมง พร้อมส่งตัวอย่างซากปลา ซึ่งดองในฟอร์มาลีนทั้งหมดไปยังกรมประมงในปี 2554

ซีพีเอฟ ยันไม่ใช่ต้นเหตุ แพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ระบุทำลายหมดแล้วเมื่อปี 54

นอกจากนี้ ในปี 2560 ที่เริ่มพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ คณะผู้ตรวจเยี่ยมจากกรมประมง เข้าตรวจเยี่ยมฟาร์มของบริษัท ณ จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อขอข้อมูลจำนวนลูกปลาหมอคางดำที่นำเข้าเมื่อปี 2553 และการบริหารจัดการ

ซึ่งนักวิจัยของบริษัทได้รายงานข้อเท็จจริงทั้งหมด ต่อมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมฟาร์มอีกครั้ง ซึ่งนักวิจัยของบริษัทได้ชี้แจงถึงวิธีการทำลายปลาทั้งหมด โดยใช้สารคลอรีนเข้มข้นและฝังกลบซากปลาโรยด้วยปูนขาว และยืนยันว่าไม่ใช่สาเหตุของการแพร่ระบาดดังกล่าว