"พิชัย นริพทะพันธุ์" รมว.พาณิชย์ คนใหม่ ในครม.อิ๊ง 1 กับภารกิจปลุกการค้าไทย

04 ก.ย. 2567 | 05:00 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.ย. 2567 | 05:31 น.

เปิดประวัติ "พิชัย นริพทะพันธุ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คนใหม่ ใน “ครม.อิ๊ง 1” พร้อมส่องประวัติ จากนักธุรกิจสู่นักการเมือง ผ่านร้อนผ่านหนาว สู่ภารกิจสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุควิกฤต พร้อมเผชิญความท้าทายและความคาดหวังสูงจากทุกภาคส่วน

“พิชัย นริพทะพันธุ์" นักการเมืองและนักธุรกิจวัย 63 ปี กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลชุดใหม่ของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร

โดยตาม "พระบรมราชโองการ" ประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีวันที่ 4 กันยายน 2567 “ครม.อิ๊ง 1” ล่าสุด พิชัยได้รับตำแหน่งเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” คนใหม่ ต่อจากภูมิธรรม เวชชยชัย ที่ขยับเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม

เส้นทางการเมืองของพิชัยเริ่มต้นจากการเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และอัญมณี ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่วงการการเมืองอย่างเต็มตัว เขาเคยดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง

ทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ด้วยประสบการณ์ทางธุรกิจและการเมืองอันหลากหลาย พิชัยได้รับการยอมรับในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย และล่าสุดดำรงตำแหน่งรองประธานยุทธศาสตร์และการเมืองของพรรค ความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการค้า น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับการพิจารณาให้ดูแลกระทรวงพาณิชย์

พิชัย นริพทะพันธุ์

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเมืองของพิชัยไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เขาเคยถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในปี 2555 และยังเคยได้รับฉายา "ไอเดียกระฉอก" จากสื่อมวลชน เนื่องจากมักนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยได้รับการตอบรับ

การกลับมารับตำแหน่งสำคัญในครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสสำคัญของพิชัยที่จะได้พิสูจน์ความสามารถและนำประสบการณ์ทั้งด้านธุรกิจและการเมืองมาใช้ในการบริหารกระทรวงพาณิชย์

ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ

พิชัย นริพทะพันธุ์

คาดว่า พิชัยจะมาสานต่อ นโยบายของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยมีทั้งหมด 7 นโยบาย ได้แก่ 

1.นโยบาย “ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” 

  • ลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ดูแลภาระค่าครองชีพโดยเพิ่มทางเลือกในการบริโภคและกระจายสินค้าที่มีคุณภาพ ราคาเป็นธรรมเน้นให้บริโภคสินค้าดูแลเกษตรกรโดยการลดต้นทุนการเพาะปลูกของเกษตรกร เช่น ค่าปุ๋ย ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าเครื่องจักร และต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบ
  • เพิ่มรายได้ ให้กับประชาชน โดยเชื่อมโยงกับนโยบาย1 ครอบครัว 1 ทักษะเพื่อให้เกิดอาชีพและมีรายได้ พัฒนาและขยายช่องทางการจำหน่ายที่เหมาะสมทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการ  
  • ขยายโอกาส เพิ่มช่องทางการค้าใหม่ๆโดยเฉพาะช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สร้างโอกาสการเข้าถึงตลาดผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของกระทรวงพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น 

 

2. บริหารให้เกิดความสมดุล ระหว่างประชาชนผู้บริโภค เกษตรกรผู้ผลิต และผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ให้ทุกฝ่ายสามารถดำรงชีวิต ดำเนินธุรกิจ ไปได้ สร้างผลประโยชน์ที่ได้รับด้วยกันทุกฝ่าย  

  • บริหารจัดการสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ล้นตลาดและขาดตลาด โดยสร้างหลักประกันว่าผลผลิตต้องขายได้ในราคาที่เหมาะสมมีการจัดช่องทางการจำหน่ายและกระจายผลผลิตที่มีประสิทธิภาพรองรับ 
  • ช่วยแก้ไขปัญหาเชิงรุก ทำให้เกษตรกรมีรายได้เช่น เกษตรอินทรีย์รวมทั้งกำกับดูแลต้นทุน และปัจจัยการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น ค่าปุ๋ย ค่าขนส่ง
  • รวมถึงจัดหาสินค้าที่มีคุณภาพดีราคาเป็นธรรมและสร้างการเข้าถึงให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มเพิ่มร้านค้า/แหล่งจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดให้ครอบคลุมถึงระดับชุมชนรวมทั้งกำกับดูแลและแจ้งเตือน (Early Warning) อย่างรวดเร็วในกรณีที่เกิดปัญหาราคาสินค้าเปลี่ยนแปลง
  • ส่งเสริมพัฒนาทักษะความรู้และขีดความสามารถด้านการตลาดที่จำเป็นเพื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพมีความคิดสร้างสรรค์รวมทั้งสร้างโอกาสและช่องทางการตลาดใหม่ๆเพิ่มขึ้น เช่น เจรจาการค้ากับคู่ค้าในต่างประเทศเพิ่มกิจกรรมการบุกตลาดในต่างประเทศและประเทศเพื่อนบ้านทั้งในรูป on-site และonline

 

3. การทำงานเชิงรุกและบูรณาการการทำงานร่วมกัน ของ พาณิชย์จังหวัด และ ทูตพาณิชย์ 

  • วางแผนยุทธศาสตร์หรือแผนบริหารจัดการสินค้าอย่างครบวงจรร่วมกัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อ “รักษาตลาดเดิม เสริมตลาดใหม่” 
  • เพิ่มบทบาท“พาณิชย์คู่คิด SME” ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็กให้สามารถส่งออกได้ อาทิ การให้คำปรึกษา ในด้านกฎระเบียบการนำเข้าของตลาดต่างประเทศเชิงลึก เช่น การจัดตั้งบริษัท การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในตลาดเป้าหมายและสร้างเครือข่ายพันธมิตร 

 

4. แก้ไขข้อจำกัดของกฎหมาย

  • ปรับปรุงกฎหมายเก่าที่ล้าสมัยเป็นอุปสรรคทางการค้าเพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ และสร้างบัญญัติกฎหมายใหม่ ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก 

 

5. ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย Digital wallet ให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • การเชื่อมโยงฐานข้อมูลช่องทางการตลาดที่กระทรวงพาณิชย์ส่งเสริม เช่น ร้านค้าธงฟ้า ร้านอาหารธงฟ้า ตลาดต้องชม Farm Outlet หมู่บ้านทำมาค้าขาย เพื่อให้การใช้งาน Digital wallet ของประชาชนในพื้นที่ไม่เกิน 4 กม. สะดวกมากยิ่งขึ้น
  • อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงสินค้าของประชาชนซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่มีเงื่อนไขข้อจำกัดในการใช้ Digital wallet เช่น การจัดรถพุ่มพวงเข้าไปจำหน่ายสินค้า

 

6. เร่งขยับตัวเลขการส่งออก เปลี่ยนจากติดลบให้เป็นบวก 

  • สร้างกระแสโดยใช้ประโยชน์จาก Soft power ของไทย และสร้าง Story ให้กับให้สินค้าและบริการไทยเชื่อมโยงกับภาคบริการ เช่น ร้านอาหาร วัฒนธรรม ภาพยนตร์ แอนิเมชั่นและการท่องเที่ยว
  • แก้ไข ปรับปรุง พัฒนา ร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การค้าชายแดน และ การค้าข้ามแดน มีความสะดวกและคล่องตัว ในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น หนองคาย แม่สาย สะเดา 
  •  ผลักดันและสร้างระบบนิเวศน์ในการยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย (Logistics Service Providers) เป็นผู้ให้บริการระดับภูมิภาค (การยกระดับให้ไทยเป็น Logistics Hub ของภูมิภาค 

 

7. ผลักดันให้มีการใช้ประโยชน์จาก FTA รวมทั้ง การปรับตัวเพื่อรองรับ และส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยในมาตรฐานความยั่งยืนที่เป็นกรอบกติกาใหม่ของโลก 

  • สร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักรู้ให้แก่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายเล็ก และเตรียมความพร้อม ให้ดำเนินธุรกิจสอดรับกับกฎกติกาใหม่ ๆ ของโลก เช่น Carbon Credit /BCG / SDGs โดยการสร้างผู้ประกอบการไทยเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตและสร้างสินค้าแบรนด์ไทยที่สอดคล้องกับมาตรฐานความยั่งยืนด้านต่าง ๆ 
  • ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ในประเทศ รัฐบาลจะจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อลงทุนพัฒนา Start-up ที่มีศักยภาพให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจใหม่
  • นำผลของการเจรจา FTA มาสื่อสารทำความเข้าใจกับกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบที่ได้รับผลประโยชน์จาก FTA ในแต่ละฉบับ เพื่อนำไปสู่การผลักดันให้มีปริมาณการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น

ในฐานะว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิชัยจะต้องเผชิญกับความคาดหวังสูงในการกระตุ้นการค้าและการลงทุน รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ ความสำเร็จในบทบาทนี้จะไม่เพียงส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองของเขาเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยในภาพรวมอีกด้วย