มหากาพย์ “จำนำข้าว” ยังไม่จบลุ้นศาลตัดสิน อีก 3 พันตันข้าวใคร?

06 ก.ย. 2567 | 23:00 น.

มหากาพย์จำนำข้าว ยังไม่จบ ลุ้นข้าวในคลัง “สิงโตทองไรซ์ฯ” อีก 3 พันตัน ศาลตัดสินเป็นของใคร ชี้หากเอกชนชนะ ข้าวจะตกเป็นของรัฐ ต้องนำมาประมูลขายต่อ ด้าน อคส.โอดผลดำเนินงานปี 51 ขาดทุนทางบัญชีสะสม 5.8 แสนล้าน จากสนองโครงการรัฐไม่สร้างรายได้ ขณะผลดำเนินการจริงดีต่อเนื่อง

ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตข้าว คิดเป็นปริมาณข้าวสารปีละกว่า 18 ล้านตัน บริโภคในประเทศกว่า 10 ล้านตัน ที่เหลือต้องส่งออก (สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดปี 67 จะส่งออก 8.2 ล้านตัน มูลค่า 1.91 แสนล้านบาท) ทั้งนี้การส่งออกข้าวทั้งด้านปริมาณ และราคา รวมถึงสต๊อกข้าวจะมีส่วนสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวเปลือกในประเทศที่ชาวนาจะได้รับ

ทั้งนี้ในช่วงที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศในปี 2557 (ยุค คสช.) มีข้าวในสต๊อกรัฐบาลจากโครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึง 18.7 ล้านตัน และมีการระบายต่อเนื่อง เหลือข้าวในสต๊อกประมาณ 9 แสนตัน  พอเข้าสู่รัฐบาลประยุทธ์ 2 ในปี 2562 คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.)ในขณะนั้น ได้พิจารณาแนวทางการระบายข้าวที่เหลือดังกล่าว

 

 

มหากาพย์ “จำนำข้าว” ยังไม่จบลุ้นศาลตัดสิน อีก 3 พันตันข้าวใคร?

โดยเมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2562 ได้เห็นชอบให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) พิจารณาระบายข้าวสารคงเหลือในสต๊อก โดยใช้หลักเกณฑ์การระบายข้าวของคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวที่ได้รับความเห็นชอบจาก นบข. จากนั้นได้มีการระบายเรื่อยมา จนถึงปี 2565 ในส่วนของ อ.ต.ก.ได้ระบายข้าวในคลังเสร็จสิ้น และมีการดำเนินคดีปกครองกับคู่สัญญา จำนวน 90 คดี มูลค่าความเสียหาย 142,024 ล้านบาท

ส่วนคลังอคส. มีข้าวคงเหลือ 218,439.587 ตัน และประสบหลายปัญหา อาทิ ผู้ประกอบการยังไม่ขนย้ายข้าวออกจากคลัง จากเหตุผลการแพร่ระบาดของโควิด-19 ,ปัญหาโต้แย้งเรื่องคุณภาพข้าวจากผู้ซื้อ รวมทั้งการดำเนินคดีกับคู่สัญญาด้วย แต่ในที่สุดก็มีการระบายเรื่อย ๆ กระทั่งเหลือข้าวล็อต 1.5 หมื่นตันที่มาทำการระบายในรัฐบาลเศรษฐา จำนวน 2 คลัง ได้แก่ “คลังกิตติชัย” หลังที่ 2 ผู้ชนะประมูลได้แก่ บริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ จำกัด (บจก.) ให้ราคากิโลกรัม(กก.) ละ 18 บาท คิดเป็นมูลค่ากว่า 209 ล้านบาท ส่วน “คลังพูนผล” ผู้ชนะประมูลคือ บจก.สหธัญ ให้ราคา กก.ละ 18.71 บาท มูลค่ากว่า 62 ล้านบาท รวม 2 คลังมูลค่ากว่า 272 ล้านบาท

 

แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการค้าข้าว เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการที่ชนะประมูลข้าว 2 คลังสุดท้าย ได้ขนข้าวออกจากคลังเรียบร้อยแล้ว ถือว่าข้าวในสต๊อกตามบัญชีรัฐบาลขายหมดเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดียังมีข้าวในคลังของ บจก. สิงห์โตทองไรซ์คอร์ปอเรชั่น เหลืออยู่ประมาณ 3,000 ตัน ที่อยู่ในประเภทการฟ้องร้องคดี และจัดอยู่ในข้าวโครงการรับจำนำข้าวเช่นกัน ทั้งนี้ต้องรอผลคดีออกมาก่อน หากศาลตัดสินให้ อคส.ชนะ บริษัทจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งจะไม่ใช่ข้าวในคลังรัฐบาล แต่หากบริษัทชนะ คดีข้าวที่เหลือ อคส.จะต้องนำมาระบายต่อไป ล่าสุดคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล

 ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการเฉพาะของ อคส. มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 306 ล้านบาทในปี 2562 เป็น 707 ล้านบาทในปี 2565 ถือมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น จากขาดทุน 157 ล้านบาทในปี 2562 เป็นขาดทุน 99 ล้านบาท ในปี 2565 เป็นผลจากการลดรายจ่าย และเน้นธุรกิจคลังสินค้า ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าร้อยละ 85 ซึ่งรายได้จากให้เช่าคลังสินค้าในปี 2565 ประมาณ 73 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดรอบ 25 ปี

ส่วนปี 2566 ประมาณการว่าผลการดำเนินงานจะขาดทุนประมาณ 70 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมประมาณ 718 ล้าน และรายได้จากคลังสินค้าประมาณ 78 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นสถิติใหม่ในรอบ 25 ปี ครั้งที่ 2 และในปี 2567 คาดจะทำสถิติสูงสุดในรอบ 25 ปี 3 ปีติดต่อกัน จากการเร่งใช้ประโยชน์พื้นที่ว่างเปล่ารอบคลังและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือ

สำหรับผลประกอบการรวมทุกโครงการของรัฐบาลตั้งแต่ปี 2551 ทำให้ อคส. ขาดทุนจำนวน 584,337 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระงานที่ไม่สร้างรายได้ให้ อคส. เนื่องจากได้รับรู้รายได้ค่ารับจ้างดำเนินการทั้งหมดในปีที่เริ่มโครงการรับจำนำ สะท้อนปัญหานโยบายการบัญชีที่ไม่สอดคล้องกับการประกอบธุรกิจ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานดีเกินจริงไปไนช่วงแรก และต้องมาแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากว่า 10 ปีหลังจากนั้น ทั้งนี้ อคส. ได้นำส่งเงินกำไรให้รัฐบาลมากกว่า 1,039 ล้านบาทในช่วงปี 2555-2557 แต่ไม่เคยได้รับเงินสนับสนุนงบประมาณลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานจากรัฐแม้แต่บาทเดียวร่วม 30 ปีแล้ว 

ปัจจุบันความคืบหน้าการดำเนินคดี แบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ ได้แก่ 1.คดีการทุจริตถุงมือยาง 2,000 ล้านบาท ทาง ป.ป.ช. ชี้มูลแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาสั่งฟ้องโดยสำนักงานอัยการสูงสุด ส่วนคดีละเมิดฯได้ออกคำสั่งให้ชดใช้แล้วทั้ง 7 ราย อยู่ระหว่างเสนออัยการให้ดำเนินคดีทางแพ่ง และสำหรับคดีอาญาฟอกเงิน ทางสำนักคดีของ อคส. ได้ประสานกับ ปปง. เพื่อฟ้องดำเนินคดีต่อไป

2.คดีปกครอง (แพ่ง) จำนำข้าว 483 คดี ผลการพิพากษาในชั้นศาลปกครองกลาง อคส.ชนะ 45 คดี ทุนทรัพย์ได้มา 3,395 ล้านบาท และ อคส. แพ้คดี 38 คดี ทุนทรัพย์ที่ต้องจ่าย 1,317 ล้านบาท ทั้งนี้การแพ้-ชนะคดีจะเป็นลักษณะแพ้ยกจังหวัด และชนะยกจังหวัด ซึ่งต้องอุทธรณ์ถึงขั้นศาลปกครองสูงสุด

3.คดีมันสำปะหลัง มี 205 คดี ผลการพิพากษา อคส. ชนะ 92 คดี ทุนทรัพย์ได้มา 6,257 ล้านบาท และ อคส. แพ้คดี 5 คดี ทุนทรัพย์ที่ต้องจ่าย 62 ล้านบาท โดยมี 3 คดีที่จำเลยเสียชีวิตในคดีอาญา 4. คดีข้าวโพด 12 คดี ผลการพิพากษา อคส. ชนะ 3 คดี ทุนทรัพย์ได้มา 278 ล้านบาท และ 5. คดีโครงการรัฐก่อนปี 2551 จำนวน 49 คดี ผลการพิพากษา อคส. ชนะ 12 คดี ทุนทรัพย์ได้มา 43 ล้านบาท และ อคส.แพ้คดี 1 คดี ทุนทรัพย์ที่ต้องจ่าย 39 ล้านบาท โดยทั้ง 12 คดีอยู่ระหว่างการบังคับคดีและพิทักษ์ทรัพย์

 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,025 วันที่ 8 - 11 กันยายน พ.ศ. 2567