จากการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติที่จะจัดทำสมุดปกขาว เพื่อนำเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะข้างหน้าต่อรัฐบาลชุดใหม่ ล่าสุดมีความคืบหน้าตามลำดับ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในเรื่องสมุดปกขาว กกร. จะเร่งสรุปความคิดเห็นและข้อเสนอร่วมกันอีกครั้งโดยคาดว่าจัดทำสมุดปกขาวให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 – 4 ของเดือนกันยายนนี้ ซึ่งคงจะเป็นช่วงหลังของการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดยภาคเอกชนจะได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อให้รัฐบาลพิจารณาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าต่อไป
อย่างไรก็ดีสำหรับสาระสำคัญของสมุดปกขาวที่จะนำเสนอในครั้งนี้ ในรายละเอียดคงมีหลายประเด็นปัญหา ที่จะนำเสนอแนวทางแก้ไข อาทิ กกร. ได้เห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญภาวะชะลอตัวรุนแรง ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การทยอยปิดตัวของโรงงานที่เพิ่มขึ้นกว่า 757 แห่ง ในช่วง 7 เดือนแรก ปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ และอีกหลายปัจจัยที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
ดังนั้น สาระสำคัญของสมุดปกขาวในครั้งนี้ จึงต้องการนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น - ยาว ทั้งประเด็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การลดภาระค่าครองชีพประชาชนและต้นทุนของผู้ประกอบการ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยข้อเสนอของ กกร. ในครั้งนี้ ยังรวมถึงประเด็นที่แต่ละสถาบันของภาคเอกชนได้นำเสนอนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 ด้วย
นายสนั่น กล่าวอีกว่า สำหรับคาดการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 กกร.มองว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 2.2 - 2.7% ขณะที่หอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 น่าจะเติบโตได้ใกล้เคียงกันที่ระดับ 2.4 – 2.6% ในกรณีไม่นับรวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ส่วนกรณีนับรวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รัฐบาลมีความชัดเจนในกลุ่มเปราะบางแล้วว่าน่าจะแจกได้ทันทีเป็นเงินสดภายในเดือนกันยายน 2567 คาดใช้เม็ดเงินประมาณ 1.45 แสนล้านบาท หอการค้าฯ มองว่าส่วนใหญ่ประชาชนกลุ่มเปราะบางน่าจะใช้เงินทันที และจะมีพฤติกรรมการใช้ภายในจังหวัดที่อาศัยหรือจังหวัดใกล้เคียงเป็นหลัก ซึ่งสินค้าที่ผลิตในประเทศน่าจะได้รับอานิสงส์มากขึ้น จึงประเมินเบื้องต้นว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะช่วยเพิ่ม GDP ได้อีก 0.2 – 0.3%
ส่วนประชาชนกลุ่มที่เหลือและอยู่ในระบบลงทะเบียนอีกประมาณ 30 ล้านคน ใช้เม็ดเงินประมาณ3 แสนล้านบาท ต้องติดตามว่ารัฐบาลจะใช้รูปแบบใดในการแจก และมีปัจจัยสำคัญอยู่ที่รอบในการหมุนเงิน ดังนั้น ในกรณีที่มีการแจกเงินหรือเงินดิจิทัล หอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเบื้องต้นว่า น่าทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้รวม 2.6 – 2.8% และยังจะมีโมเมนตัมไปจนถึงไตรมาส 1 ปี 2568