นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนตอนหนึ่งว่า เนื้อสุกรลักลอบนำเข้าจากประเทศบราซิลทำไมถูก ทั้ง ๆ ที่เสียค่าใช้จ่ายใต้โต๊ะรายทาง และมาวางขายในตลาดเมืองไทยก็มีราคาถูกกว่าหมูในประเทศ ในเรื่องนี้ข้อเท็จจริงมีเหตุผลจากบราซิลมีต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ต่ำมาก จากเป็นผู้ผลิตธัญพืชรายใหญ่ของโลก
ขณะที่โครงสร้างต้นทุนการผลิตสุกรของประเทศไทยที่มีต้นทุนส่วนใหญ่ 65-70% มาจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลนโยบายโดยกระทรวงพาณิชย์นั้นมีราคาสูงมาก ทั้งกลุ่มพืชโปรตีน ได้แก่ กากถั่วเหลือง ซึ่งมีการบวกกำไรเกินกว่าเหตุ จนทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์กลุ่มโปรตีนของไทยเป็นกลุ่มที่มีราคาสูงที่สุดในโลก รวมถึงข้าวโพดในไทยที่แพงถึงกว่า 10 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาข้าวโพดต่างประเทศอ่อนตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับราคา 5-6 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น
“นี่คือสาเหตุหลักที่รัฐมนตรีพาณิชย์ ควรต้องเข้าไปดูโครงสร้างการกำหนดราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งมีมาตรการ 3 ต่อ 1 (ซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน นำเข้าข้าวสาลีได้ 1 ส่วน) ที่ยังคงทำให้ราคาข้าวโพดสูงอย่างต่อเนื่องและมองว่ามีเงื่อนงำ”นายสิทธิพันธ์ กล่าว
ด้านนายเดือนเด่น ยิ้มแย้ม ประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า รัฐบาลควรพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายอาหารสัตว์เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร หากปัญหานี้ได้รับการแก้ไขเชื่อว่าผู้เลี้ยงหมูจะสามารถทำต้นทุนเฉลี่ยได้ 60 บาทต่อกิโลกรัม และแข่งขันกับบราซิลได้แน่นอน ที่สำคัญเนื้อหมูไทยคุณภาพดี ปลอดภัยจากสารเร่งเนื้อแดง และสดสะอาดกว่าหมูที่มาจากบราซิล
ดังนั้นรัฐบาลควรมองมุมกลับ แทนที่จะนำเข้าหมูจากบราซิลหรือขายหมูไทยให้ถูกเท่ากับบราซิล ควรเปลี่ยนเป็นการส่งเสริมให้ผู้เลี้ยงหมูไทยผลิตเพื่อการส่งออกเหมือนกับบราซิลจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งนอกจากจะช่วยนำเงินตราเข้าประเทศแล้ว ยังช่วยให้คนไทยได้บริโภคเนื้อหมูในราคาที่เหมาะสม ช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนตามเป้าหมายของรัฐบาล