ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยที่เพิ่งเปลี่ยนผ่านรัฐบาลมาไม่นาน ยังต้องการการกระตุ้นขนานใหญ่ หลังรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจหรือจีดีพีไทยโตเฉลี่ยไม่เกิน 2% ต่อทิศทางข้างหน้าหลังเลือกตั้งสหรัฐ ในมุมมองผู้นำภาคเอกชน ผลได้-ผลเสียต่อประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจะต้องเร่งอย่างไรบ้างนั้น นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ผ่าน “ฐานเศรษฐกิจ” ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง
นายสนั่น กล่าวว่า หาก กมลา แฮร์ริส ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ นโยบายด้านต่าง ๆ คาดจะยังมีต่อเนื่องจากสมัยโจ ไบเดน จากพรรคเดียวกัน โดยในแง่การค้ายังให้ความสำคัญตามกฎกติกาขององค์การการค้าโลก (WTO) ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ความสำคัญกับ “America First” เน้นสร้างเศรษฐกิจภายใน ส่วนเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ทรัมป์ประกาศจะไม่ซัพพอร์ต (สนับสนุน) ยูเครนทำสงครามกับรัสเซีย ไม่ซัพพอร์ตนาโต้ และให้อิสราเอลยุติสงครามในตะวันออกกลาง ส่วนหากเป็นแฮร์ริส เรื่องสงครามคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก อย่างไรก็ตามไม่ว่าทรัมป์ หรือแฮร์ริสมาในส่วนของจีน สหรัฐจะยังทำสงครามการค้า และสงครามเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น
“สิ่งที่จะกระทบกับไทย เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย และเป็นคู่ค้ารายใหญ่ จากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ส่งผลให้จีนย้ายฐานการผลิตมาที่ไทยเพิ่มมากขึ้น โดยเวลานี้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV จีน ซึ่งหากส่งออกไปสหรัฐเขาอาจจะดูว่ารถ EV จีน เมด อิน ไทยแลนด์ ถ้าโลคอล คอนเทนท์ (ถิ่นกำเนิดสินค้า) หรือวัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากจีน ต้องเก็บภาษีเพิ่มหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้แผงโซลาร์เซลล์ที่ผลิตในไทย(ส่วนใหญ่เป็นของนักลงทุนจีน) ก็ถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นมาแล้ว เป็นต้น”
นายสนั่น ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวอีกว่า จากที่ กกร.ได้เข้าพบและหารือนายกรัฐมนตรี "แพทองธาร ชินวัตร" และได้นำเสนอสมุดปกขาว ข้อเสนอภาคเอกชนเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยได้นำเสนอในหลายด้าน
โดยในส่วนของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้เสนอแนะไป เช่น การช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน การควบคุมราคาสินค้า การตรึงค่าไฟฟ้า และนํ้ามันดีเซล ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจได้นำเสนอการเพิ่มกำลังซื้อในลักษณะโครงการคูณสอง การกระตุ้นการใช้สอยผ่านมาตรการ Easy e-Receipt และมาตรการทางภาษีอื่น ๆ
“ถามว่าโครงการคูณสองคืออะไร ในความหมาย “คูณสอง” ก็คือ "คนละครึ่ง" ซึ่งเคยใช้ในรัฐบาลที่ผ่านมา แต่เราเกรงว่าถ้าบอกว่า “คนละครึ่ง” บางทีรัฐบาลเขาไม่อยากจะใช้ซํ้า ก็เลยหาทางออกว่าเป็นมาตรการในลักษณะโครงการคูณสองก็แล้วกัน โดยสามารถคิดใหม่ทำใหม่ได้ ซึ่งคุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ท่านก็รับในหลักการ และจะไปดูว่าจำนวนเงินที่จะสนับสนุนมาตรการนี้จะเป็นอย่างไร รวมถึงมาตรการ Easy e-Receipt ซึ่งเราก็เซอร์ไพรส์ว่าท่านรับลูกเร็วมาก”
นอกจากนี้ กกร.ยังขอให้รัฐบาลนำเรื่องไปหารือกับธนาคารพาณิชย์ บริษัทไฟแนนช์ หรือลิสซิ่งรถยนต์ เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ยึดรถกระบะ หรือรถปิกอัพ ซึ่งเป็นรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ประชาชนใช้ทำมาหากิน หรือรับส่งคนในครอบครัว ซึ่งเวลานี้จากข้อมูลเครดิตบูโร คนไทยมีหนี้ด้านรถยนต์ และเสี่ยงที่ถูกยึดรถกระบะ 1-2 แสนคัน หากถูดยึดไปในเวลานี้ก็จะไม่มีเครื่องมือในการทำมาหากิน ขณะที่ในปลายปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะมีความคึกคักมากขึ้น
“ปีนี้ยอดขายรถกระบะลดลงเกือบ 40% แสดงว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีเงินจะซื้อ เท่ากับว่าเขาจะทำมาหากินก็ไม่ได้แล้ว จะไปยึดรถเขาอีก ได้กี่ตังค์ ถ้าเราช่วยให้เขาต่อชีวิตหรือต่อออกซิเจนให้มีลมหายใจต่อไปไม่ดีกว่าหรือ ดังนั้นถ้าเราทำการบ้านร่วมกับสถาบันการเงินทั้งธนาคารพาณิชย์ รวมถึงลิสซิ่ง ไฟแนนซ์ต่าง ๆ โดยอาจให้เขาผ่อนน้อยลง หรือขอดูเวลาอีกซัก 3 เดือนได้หรือไม่ เพื่อเศรษฐกิจจะหมุนได้อีกในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้"
นายสนั่น กล่าวทิ้งท้าย ถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ว่า คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 2.6-2.8% ซึ่งการขยายตัวที่ระดับ 3% ในปีนี้ยังไม่สามารถทำได้ จากเกิดเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้เศรษฐกิจได้รับความเสียหาย ส่วนในปี 2568 มองจากโมเมนตัมแล้วเศรษฐกิจไทยมีโอกาสโตได้ 3% บนพื้นฐานรัฐบาลมีเสถียรภาพ และประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,042 วันที่ 7 - 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567