ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เปิดมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายปี 67 ว่า คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,495 จุด และปี 68 ที่ระดับเหนือ 1,800 จุด โดยมองว่าปัจจัยที่มีส่วนช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยได้ คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง
มองว่ารัฐบาลชุดใหม่นี้แม้ว่าจะยังคงมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ยังคงดำเนินการต่อไปได้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาญการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากนี้จะมาช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้นตามไปด้วย เมื่อเศรษฐกิจดีสิ่งที่จะตามมาก คือ การส่งออกดีขึ้น และการท่องเที่ยวดีขึ้น นักท่องเที่ยวมีความสามารถในการใช้จ่ายในการท่องเที่ยว
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ยังคงมีความผันผวนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ซึ่งทั้ง "โดนัลด์ ทรัมป์" และ "กมลา แฮร์ริส" มีนโยบายในการบริหารจัดการประเทศที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ความเข้มขนของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน ไปจนถึงการตัดท่อน้ำเลี้ยงสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ทำให้มองว่าการลงทุนในปี 67 ยังคงมีความท้าทายอยู่ แม้ว่าตลาดหุ้นไทยมีการฟื้นตัวขึ้นมาได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ที่กังวลใจในเวลานี้ผลของการเลือกตั้งสหรัฐฯ หากถ้า กมลา แฮร์ริส ได้ชัยชนะไป สงครามการค้าระหว่างประเทศจีนอาจจะไม่ได้รุนแรงเท่าไหร่กับทรัมป์ ด้วยเทคนิกการต่อสู้ที่ค่อนข้างสุภาพกว่า แม้ทั้ง 2 คนจะมีแนวคิดเดียวกัน คือ "อเมริกาต้องมาก่อน (America First)"
ในขณะที่ ทรัมป์ ค่อนข้างเดาใจได้ยากกว่า ล่าสุดมีกระแสข่าวว่าจีนอยากมาตั้งโรงงานผลิต EV ที่เม็กซิโก โดยมีแผนที่จะมีการส่งออกไปตลาดหสหรัฐฯ ผ่านนาฟต้า (NAFTA) ซึ่งทรัมป์ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านทวิตเตอร์ทันทีว่า หากว่าจีนสร้างโรงงานเสร็จทรัมป์ก็จะมีการเรียกเก็บภาษีที่แพงขึ้น ดังนั้นแล้วจะเห้นว่าทรัมป์มีมาตรการแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมาตอบโต้ให้ลุ้นอยู่ตลอด
ด้านกระแสเงินลงทุนของต่างชาติ ส่วนตัวมองว่าทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกชัดเจนเมื่อไหร่ ทุนต่างชาติก็จะเริ่มกลับมา ในขณะนี้นักลงทุนมองถึงเรื่องของความเสี่ยงหนักหน่อย แต่คาดว่าเข้าสู่ปี 68 สถานการณ์จะเริ่มชัดเจน บวกกับปัจจัยสภาพคล่องที่ยังมีอยู่มาก แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีผู้นำแล้วแต่ะนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงลดดอกเบี้ยต่อไป
จากนี้ก็ต้องไปตามลุ้นว่าใครจะขึ้นมานั่งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป และมองว่าถ้าไม่มีปัญหาสงครามภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ลุกลามและรุนแรงมากขึ้น ก็คาดว่าหลังจากนี้เศรษฐกิจจะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้นักลงทุนก็จะเข้าสู่การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้น
ขณะที่อุตสาหกรรม (sector) ที่มีความน่าสนใจในระยะ 10 ปีนี้ มองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงเดินคู่ไปกับ sector เดิมๆ ไปก่อน เช่น ท่องเที่ยว การแพทย์ (Medical) กลุ่มนี้น่าสนใจ ไทยมีความสามารถและพัฒนาขึ้นได้ให้เป็นจุดแข็ง และกลุ่มอาหาร ที่อาจต้องดึงเอาเทคโนโลยีมาผสานใช้ให้มากขึ้น
ทั้งนี้ มองว่าการเปลี่ยนแปลงจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นได้ก็ต่อเมื่อไทยมีการพัฒนาศักยภาพนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในภาคธุรกิจให้เพิ่มขึ้น ไทยต้องเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลมากขึ้น โดยตอนนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับปัญหา คือ การขับเคลื่อนยังเป็นกลุ่มเดิมๆ เช่น กลุ่มปิโตรฯ ที่คิดเป็นสักส่วนกว่า 30% ของตลาดหุ้นไทย อีกกว่า 10% เป็นกลุ่มแบงก์ และกลุ่มยานยนต์สันดาปภายใน
ดังนั้น ไทยต้องปรับเปลี่ยนให้ได้ นักลงทุนต่างชาติมองว่าการลงทุนใน บจ. จะเป็นธุรกิจแห่งอนาคตได้หรือไม่ ไทยยังไม่มีสินทรัพย์ที่เป็นอนาคตในตอนนี้ จึงต้องแปลงโฉม นอกจากนี้ ยังมีในเรื่องของการตื่นตัวในเรื่อง "โกกรีน" มากขึ้น รวมไปถึงการขยายตลาดและออกไปลงทุนในต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนไทยด้วย
เพราะมองว่าอัตราการเติบโตของตลาดต่างประเทศมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า ใครที่อยู่แต่ในเมืองไทยจะเหมือนถูกมัดมือมัดแขน ดังนั้นการขยายตลาดต่างประเทศจึงเป้นเรื่องที่สำคัญ
"มองว่าสินทรัพย์มีให้ลงทุนเยอะ ขึ้นอยู่ที่ความชอบเป็นแบบไหน ช่วงวิกฤตลงมาต่ำเป็นช่วงที่น่าลงทุน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน มองว่าต้องเลือกลงและไม่ควรลงทั้งตลาด เรื่องรถยนต์ เรื่อง AI ขึ้นอยู่กับผู้นำของสหรัฐฯ ใครจะได้เป็นผู้ชนะ แฮร์ริสมาจะหนุนเรื่องทองคำไปต่อได้ ช่วงต่อไปยังลงทุนได้แต่ต้องเลือกแต่ละสินทรัพย์มีปัจจัยมาเป็นแรงเหวี่ยงและกระทบแตกต่างกัน"
สิ่งที่อยากจะเสนอแนะต่อภาครัฐฯ นั้น มองว่ามี 3 ประเด็น ประกอบด้วย
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ทาง FETCO เตรียมนัดพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในช่วงต้นปี 68 เพื่อปรึกษาหารือในการขอเพิ่มมาตรการทางภาษี ซึ่งเบื้องต้นมีประมาณ 3 กองทุน ได้แก่