นโยบาย "โดนัลด์ ทรัมป์" เขย่าส่งออก ฉุด GDP ไทย ปีหน้าร่วง 1%

20 พ.ย. 2567 | 06:55 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ธ.ค. 2567 | 09:47 น.

ม.หอการค้า เผย กระทบทางตรง-ทางอ้อมจากนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ มูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ลดลงถึง 108,714 ล้านบาท ฉุด GDP ปี 2568 ร่วง 1% สินค้าจากจีนเตรียมทะลักเข้าไทยระลอกใหม่

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ทางม.หอการไทยได้มีการประเมินผลกระทบของนโยบาย "โดนัลด์ ทรัมป์" ต่อเศรษฐกิจไทยและทิศทางการส่งออกไทยปี 2568 โดยมีนโยบายหลักประกอบไปด้วย 

1. นโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้วยการลดภาษีและกฎระเบียบ เพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจ ใช้นโยบายการค้าเชิงรุกเพื่อสร้างงานและขยายเศรษฐกิจ

2. นโยบายภาษี เน้นลดภาษีทั่วไป โดยเฉพาะภาคธุรกิจและชนชั้นกลาง โดยเสนอลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 20% ใช้รายได้จากภาษีนำเข้า 10% มาชดเชยการลดภาษีในประเทศ

3. นโยบายการค้าระหว่างประเทศเน้นนโยบายกีดกันทางการค้า ด้วยการเก็บภาษีเพิ่ม 10% จากทุกประเทศ และจากจีน 60%

4. นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมภายใน ผ่านภาษีนำเข้า ลดกฎระเบียบ ลดการพึ่งพาจีนในอุตสาหกรรมสำคัญ

5. นโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่สนับสนุนนโยบายพลังงานได้ทุกรูปแบบ ต่อต้านข้อตกลงปารีสและมองว่าการลงทุนด้านสภาพพูมิอากาศเป็นภาระ 

6. นโยบายแรงงานและสวัสดิการสังคม เน้นการสร้างงานผ่านการลดภาษีและกฎระเบียบ จำกัดการเข้าเมืองเพื่อปกป้องตำแหน่งงานให้คนอเมริกัน

 

นโยบาย \"โดนัลด์ ทรัมป์\" เขย่าส่งออก ฉุด GDP ไทย ปีหน้าร่วง 1%

 

7. นโยบายการเงิน มุ่งลดความเป็นอิสระของธนาคารกลาง และต้องการให้ประธานาธิบดีมีอำนาจกำหนดอัตราดอกเบี้ย

8. นโยบายการลดการขาดดุลงบประมาณ เน้นมาตราการทางการค้า ภาษีนำเข้า ลดการใช้จ่ายภาครัฐ กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการผลิตในประเทศ

ทั้งนี้ หากในปี 2568 ทรัมป์ดำเนินตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ผลกระทบทางตรงที่จะเกิดกับไทย ได้แก่ 

  • ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงบางส่วนเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากนโยบายการค้าแบบปกป้องจากการเก็บภาษีนำเข้า
  • การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะหากมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าอีก 10% มูลค่าการค้าของไทยจะลดลง 3,106 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีสินค้าที่ได้รับผลกระทบไปด้วยคือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ยานพาหนะโลหะสามัญและผลิตภัณฑ์จากโลหะ
  • การลงทุนลดลงจากสหรัฐฯ อาจจะมีการถอนการลงทุนออกไปบ้าง 
  • GDP ของไทยมีแนวโน้มลดลงบางส่วนได้เทียบกับช่วงก่อนเลือกตั้ง

 

นโยบาย \"โดนัลด์ ทรัมป์\" เขย่าส่งออก ฉุด GDP ไทย ปีหน้าร่วง 1%

ขณะที่ ผลกระทบทางอ้อม เมื่อจีนไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯได้ ชิ้นส่วนของไทยที่ส่งออกไปจีน เช่น ชิปเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในสินค้าต่าง ๆ จะลดลง มูลค่าการค้ากับจีนจะหายไป 49,105 ล้านบาท และเมื่อจีนได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อีก 60% มูลค่าการส่งออกจึงสูญหายไปถึง 350,660 ล้านดอลลาร์ สิ่งที่น่ากังวลคือ สินค้ากลุ่มที่จีนส่งออกไม่ได้จะทะลักเข้ามาที่ไทยแทน

นอกจากนี้ ประเทศไทยถือว่ามีดุลการค้ากับสหรัฐฯ เกินดุลอยู่อันดับที่ 9 และจากข้อมูลย้อนหลังพบว่าไทยมีการเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ ด้านการส่งออกสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2014 แม้จะลดลงบ้างในปี 2018 แต่จากนั้นก็สูงขึ้นมาตลอด อีกทั้งไทยยังคงพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 7.2% ซึ่งเป็นการพึ่งพาตลาดในประเทศเพียง 61% เท่านั้น และมีการพึ่งพาตลาดโลก 39% ดังนั้นเมื่อโลกเเย่ สหรัฐฯแย่ ไทยก็แย่ไปด้วย

สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐสูงที่สุดคือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มูลค่า 10,477 ล้านดอลลาร์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 9,502 ล้านดอลลาร์ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง 4,529 ล้านดอลลาร์

 

นโยบาย \"โดนัลด์ ทรัมป์\" เขย่าส่งออก ฉุด GDP ไทย ปีหน้าร่วง 1%

 

อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงเป็นโอกาสตลาดส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ เป็นการทดแทนตลาดสินค้าจีน ทั้งเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ของเล่นเกมและอุปกรณ์กีฬา สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า เครื่องเรือนและของตกแต่งบ้าน อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์

นายธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกระทบทางตรงการส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐฯ จะลดลง 108,714 ล้านบาท และทางอ้อมการส่งออกวัตถุดิบของไทยในห่วงโซ่อุปทานจีนและสหรัฐฯ จะลดลง 49,105 ล้านบาท การส่งออกวัตถุดิบของไทยในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ และจีน รวมแล้วสูงถึง 160,472 ล้านบาท มีผลทำให้ GDP ไทยหายไป 1% ในปี 2568 บวกกับผลพวงของความเสี่ยงในเรื่องของสงครามระหว่างประเทศ รวมถึงปัจจัยจากประเทศคู่ค่าที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว จึงคาดว่าการส่งออกของไทยปี 2567 ประเมินว่าจะอยู่ที่ 3.21%

ขณะที่ ปี 2568 หาก GDP โลกขยายตัว 2.7-3.2% ไทยจะส่งออกอยู่ที่ 2.8% มูลค่า 302,477 ล้านดอลลาร์ ตลาดสำคัญยังคงเป็น ยุโรป อินเดีย อเมริกา สินค้าเด่นคือเครื่องจักรกล ผลไม้สด แช่แข็ง ยางและผลิตภัณฑ์ ยาง แต่หากทรัมป์ขึ้นภาษี 10% ขึ้นภาษีจีน 60% ส่งออกไทยจะเหลือ 2.24% และหากขึ้นภาษีกับประเทศที่เกินดุล 15% ขึ้นภาษีจีน 60% ส่งออกไทยจะเหลือเพียง 0.72%

ขณะเดียวกัน สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งคือการอัดมาตรการด้านท่องเที่ยวและการบริโภค และต้องหาแต้มต่อของไทยจากการเป็นศูนย์ลางโลจิสติกส์ และไม่โดนกำแพงภาษีมากเกินไป เพื่อดึงการลงทุนเข้ามาแทนเวียดนาม ที่อาจถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี 15-20% เพราะเกินดุลการค้ามากกว่าไทย