ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Climate change and the race to Net Zero) ของทั่วโลก เป็นปัจจัยท้าทายให้ผู้ประกอบการฯ ต้องเร่งปรับตัวในการลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อลดการใช้วัสดุก่อสร้างที่สิ้นเปลือง เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงเดินตามหลักแนวทางของ ESG โดยการนำปัจจัยเหล่านี้ไปใช้ ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้เร็วขึ้น
ศูนย์วิจัยกรุงศรี ระบุว่า ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างปี 2567-2569 มีแนวโน้มเติบโตตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.0-4.0% ต่อปี โดยมูลค่าก่อสร้างภาครัฐจะขยายตัว 3.5-4.0% ต่อปี ด้วยปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ ได้แก่ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridors: EEC) ภายใต้การเร่งดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570
ขณะที่มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนทั้งที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว โดยจะขยายตัว 3.0-3.5% ตามกำลังซื้อที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่คืบหน้ามากขึ้น โดยปัจจัยที่อาจจำกัดการเติบโตส่วนใหญ่มาจากต้นทุนก่อสร้างทั้งวัสดุก่อสร้างและค่าแรงรวมถึงค่าขนส่งที่จะยังทรงตัวสูงตามทิศทางราคาพลังงาน
สำหรับธุรกิจผู้ผลิตและผู้จำหน่ายวัสดุก่อสร้าง มีแนวโน้มขยายตัวท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงทั้งจากผู้ผลิตในประเทศและจากสินค้านำเข้า ทั้งนี้ ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มที่จะปรับกระบวนการผลิตด้วยการลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพสูงและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่มุ่งสู่ความยั่งยืนตาม ESG Model มากขึ้น
CCP SMART ผลักดัน Green Construction Product ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ
บริษัทผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด(มหาชน) หรือ CCP มุ่งเน้นกลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) นวัตกรรมใหม่ มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการวัดการปล่อยก๊าซเรือน กระจก ตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ผลิตภัณฑ์ท่อระบายน้ำ รางระบายน้ำ บ่อพักรางระบายน้ำ กำแพงกันดิน แผ่นทางเท้า เน้นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมติดตั้งหน้างาน ช่วยลดระยะเวลาการทำงาน ตอบโจทย์ความต้องการงานโครงสร้างพื้นฐานและ งาน Landscape ทั่วประเทศ
พร้อมกับการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนากระบวนการผลิต ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable development) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพิ่มกำลังการผลิต ลดแรงงาน เป็นการจัดสรรทรัพยากร ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร ส่งผลให้มีความสามารถทำกำไรในระยะสั้นและระยะยาว แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเกิดจากการลงทุนที่ก่อให้เกิดปัจจัยเชิงบวกต่อธุรกิจ สามารถบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐาน โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับแค่ผลประกอบการเพียงอย่างเดียว
ขณะที่ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) เดินหน้ากลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ คอนกรีตมวลเบา-คอนกรีตมวลเบาตกแต่ง ที่ใช้ในการก่อสร้าง ตกแต่ง ที่พักอาศัย โครงการแนวราบ-แนวสูง อาคารพาณิชย์ พื้นที่ค้าปลีก โรงแรม ได้รับมาตรฐานการันตีคุณภาพด้วย เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint) หรือฉลากลดโลกร้อน เป็นฉลากที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
อีกทั้ง บริษัทได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 ระบบบริหารงานคุณภาพ (Quality Management System QMS) เป็นมาตรฐานที่มีการปรับปรุงข้อกำหนดใหม่ ที่จะช่วยในการปรับปรุงสมรรถนะในภาพรวมขององค์กร และเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 1401 : 2015 มาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environment management System) ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดจากหน่อยงานองค์กรทั่วโลก
ด้วยการใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกขั้นตอน กระบวนการผลิตระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูง สูตร Cement Base ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีคุณภาพและแข็งแกร่งทนทานกว่าระบบอื่นการันตี สินค้าปลอดภัย คอนกรีตมวลเบา "สมาร์ทบล็อคเย็น" ได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.1505-2541 โดยทุกก้อนมีคุณภาพสม่ำเสมอเท่ากัน
ตอบรับกับแนวทางการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และผู้อยู่อาศัยที่ต้องการเลือกใช้วัสดุช่วยประหยัดพลังงาน สามารถนำมารีไซเคิล ลดฝุ่นในการก่อสร้าง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างโอกาสในการในกาขยายฐานลูกค้า สร้างยอดขายเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับการพัฒนาองค์กรให้เข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายในและภายนอกองค์กร ตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อการพัฒนาการที่ยั่งยืน
PPS Digital Construction การนำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อควบคุมการก่อสร้าง ลดระยะเวลาในการก่อสร้างที่สั้นลง ลดต้นทุน
บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS ภาพรวมของงานควบคุมการก่อสร้างนั้นเป็นงานที่ใช้ทรัพยากรบุคคลในการขับเคลื่อนตั้งแต่ต้นจนจบ ในแต่ละโครงการผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ผู้รับเหมา ช่าง และเจ้าของโครงการ โดยหัวใจหลักในการทำงาน คือ การสื่อสาร และติดตามความคืบหน้าโครงการระหว่างทีมงานอย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างให้ได้มาตรฐานตามแผนงาน และเสร็จลุล่วงตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดภายใต้งบประมาณที่วางไว้
PPS ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญเรื่อง ESG มาโดยตลอด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการทำงานของบริษัทที่นำนวัตกรรมการก่อสร้างและเทคโนโลยีมาเสริมประสิทธิภาพการบริหารจัดการงานกับ 2 ซอฟต์แวร์หลัก โดยรูปแบบของการใช้งานมีความแตกต่างกันไป แต่สามารถทำงานควบคู่กันได้อย่างแม่นยำ
เริ่มจากโปรแกรม HaloBuilder เป็นการติดตามความคืบหน้าของงานก่อสร้าง โดยใช้กล้อง 360 องศา บันทึกภาพโครงการก่อสร้างแบบเรียลไทม์ ช่วยในการทำงานระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องลดเวลาในการเดินทางไปหน้างาน ลดการใช้พลังงาน รวมถึงบริหารจัดการงานได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะโปรแกรมนี้เปรียบเสมือนได้สำรวจหน้างานจริง
ในส่วนของ Kanna เป็นอีกหนึ่งซอฟต์แวร์ที่บริหารจัดการโครงการบนคลาวด์ ช่วยในเรื่องการจัดการข้อมูลโครงการ การสร้างรายงานต่างๆ รวมถึงการติดตามความคืบหน้าโครงการ ที่จะช่วยลดความล่าช้าการทำรายงานต่างๆ และลดความผิดพลาดในการทำงาน
ด้วยการยกระดับการบริหารจัดการงานก่อสร้างของทางบริษัทในโมเดลนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการพัฒนา อีกทั้ง “ลด” ขั้นตอนการทำงานแบบเดิม ลดระยะเวลา ลดกำลังคน ลดพลังงาน ลดต้นทุน และลดความสิ้นเปลืองทรัพยากรจากการใช้เอกสาร รวมถึงลดค่าใช้จ่ายได้อย่างชัดเจน การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ถือเป็นสูตรสำเร็จที่สร้างการเติบโตของธุรกิจ และรายได้ให้องค์กรได้อย่างยั่งยืน ไปพร้อมกับความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง