การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมประชุมใหญ่ COP29 ที่จัดขึ้น ณ กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน โดยมีบทบาทสำคัญในเวที "Thailand Pavilion" ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการแสดงศักยภาพของประเทศไทยในด้านพลังงานสะอาด ท่ามกลางความสนใจจากผู้แทนทั่วโลก กฟผ. ได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว รวมถึงโครงการต้นแบบที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำความสำคัญของบทบาทองค์กรพลังงานของรัฐในการสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593
หนึ่งในหัวใจสำคัญของการนำเสนอในเวที COP29 คือ "กลยุทธ์ Triple S" โดย ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล กรรมการ กฟผ. ระบุว่า Triple S ประกอบด้วย Sources Transformation การเปลี่ยนแหล่งผลิตพลังงานจากฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียน, Sink Co-Creation การสร้างแหล่งกักเก็บคาร์บอนร่วมกับชุมชนและพันธมิตร และ Support Measures การส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กลยุทธ์นี้ถือเป็นการตอบโจทย์นโยบายพลังงานของประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายให้พลังงานหมุนเวียนมีสัดส่วนมากกว่า 51% ภายในปี พ.ศ. 2593
ศ.ดร.พิสุทธิ์ ได้อธิบายถึงบทบาทสำคัญของ กฟผ. ในการสนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานของประเทศ โดยระบุว่า กฟผ. ไม่ได้มีบทบาทเฉพาะในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า แต่ยังมีหน้าที่ในการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน (Energy Security) ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับประเทศ เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาระบบพลังงานที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ในอนาคต เช่น การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) และการเพิ่มบทบาทของพลังงานหมุนเวียนในระบบ
นอกจากนี้ ศ.ดร.พิสุทธิ์ ได้กล่าวถึงนโยบาย 4D1E ของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นกรอบแนวทางที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ประกอบด้วย Decarbonization การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, Digitalization การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระบบพลังงาน, Decentralization การกระจายศูนย์กลางพลังงาน, Deregulation การปรับปรุงกฎระเบียบให้เหมาะสม และ Electrification การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานไปสู่ระบบไฟฟ้าที่สะอาดและมีประสิทธิภาพ
พร้อมเน้นความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การกักเก็บคาร์บอน (CCUS) และระบบพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ยังคงมีต้นทุนที่สูง แต่ศ.ดร.พิสุทธิ์ เชื่อว่าด้วยการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจะสามารถนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
ในด้านนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม นายชัชวาล วงศ์มหาดเล็ก และ นายชาคริต เย็นที่ จากฝ่ายบริหารและก่อสร้างโรงไฟฟ้า กฟผ. ได้นำเสนอโครงการ "From Waste to Solutions: Compostable Packaging and Biomass Products for a Cleaner Environment" ซึ่งใช้วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร เช่น ฟางข้าวและซังข้าวโพด มาแปรรูปเป็นแผ่นชีวมวลอัดแน่น โครงการนี้ช่วยลดปัญหาการเผาในที่โล่ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของฝุ่นละออง PM2.5
นายชัชวาล เปิดเผยว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเกิดจากการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญในกระบวนการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ให้เกิดคุณค่าเพิ่ม ผลิตภัณฑ์แผ่นชีวมวลอัดแน่นมีคุณสมบัติในการลดเสียงและความร้อน ทำให้สามารถนำไปใช้ในงานก่อสร้าง เช่น ฉนวนกันเสียงในโรงไฟฟ้าหรือโครงสร้างอื่นๆ
นายชาคริต กล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตแผ่นชีวมวลใช้กระบวนการอัดวัสดุด้วยความร้อนสูงโดยใช้สารยึดเกาะชีวภาพเฉพาะสูตร กระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนและสารอินทรีย์ระเหยง่ายอื่นๆ ซึ่งเกิดจากการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
โครงการดังกล่าวยังมีการพัฒนาให้หลากหลาย เช่น การผลิตวัสดุตกแต่งบ้าน และการทำแผ่นปิดผิวผนังที่ไม่เป็นพิษ โดยมีการจดสิทธิบัตรเพื่อต่อยอดในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังสามารถเป็นต้นแบบให้ชุมชนอื่นในพื้นที่ภาคเหนือได้นำไปประยุกต์ใช้
ยิ่งไปกว่านั้น กฟผ. ยังได้จัดนิทรรศการแสดงความก้าวหน้าด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Technology) ที่น่าจับตามอง ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมในเวที Thailand Pavilion อาทิ ENZY Platform ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะที่ควบคุมและบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งนำเทคโนโลยี AI มาวิเคราะห์ข้อมูลการผลิตและการใช้พลังงาน เพื่อแนะนำวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้า รวมถึงการแจ้งเตือนผู้ใช้ไฟฟ้าเมื่อปริมาณการใช้สูงเกินเป้าหมาย
อีกหนึ่งจุดเด่นในนิทรรศการ คือ "EGAT EV Business Solutions" ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการให้บริการครบวงจร ตั้งแต่ออกแบบ ติดตั้ง ไปจนถึงการใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน EleXA สำหรับค้นหาสถานีชาร์จ วางแผนการเดินทาง และจองเวลาชาร์จ รวมถึงระบบ BackEN EV ที่ช่วยบริหารจัดการเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอ "โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ" (Floating Solar Project) ซึ่งเป็นต้นแบบโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่สามารถผสานพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานน้ำเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โครงการนี้ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนถึงศักยภาพของ กฟผ. ในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
การประชุม COP29 ได้ตอกย้ำบทบาทของ กฟผ. ในฐานะผู้นำด้านพลังงานสะอาด โดยผลงานที่นำเสนอในงานนี้ไม่เพียงแสดงถึงศักยภาพขององค์กรเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศโลก ในอนาคต กฟผ. มีแผนที่จะขยายโครงการที่ประสบความสำเร็จ เช่น แผ่นชีวมวล และพลังงานหมุนเวียน ไปยังชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมขยายความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดของไทยอย่างยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง