climatecenter

เปิดตัว รายงานความโปร่งใสครั้งแรกของไทย ยกระดับสู้วิกฤตโลกร้อน

    ทำความรู้จัก รายงานความโปร่งใสฉบับแรกของไทย Thailand’s First Biennial Transparency Report (BTR1) เครื่องมือสำคัญสู้โลกร้อนบนเวทีโลก

ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นประเทศที่โปร่งใสและมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในฐานะภาคีสมาชิกของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ที่ได้ลงนามและให้สัตยาบันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2537 ล่าสุดประเทศไทยโดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมได้จัดทำ "รายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1" หรือ Thailand’s First Biennial Transparency Report (BTR1) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับประชาคมโลก ด้วยหลักการโปร่งใส น่าเชื่อถือ และสามารถเทียบเคียงได้ในระดับสากล

การจัดทำ BTR1 ครั้งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2567 – 2571 โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการจัดทำรายงานข้อมูลการปล่อยและลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงแนวทางการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว BTR1 ฉบับนี้มีกำหนดส่งต่อสำนักเลขาธิการ UNFCCC ภายในปี 2567 ถือเป็นการตอบสนองพันธกรณีของประเทศไทยในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมาต่อประชาคมโลก

รายงาน BTR1 ประกอบด้วยสาระสำคัญ 5 ส่วน ได้แก่...

  • สถานการณ์และโครงสร้างเชิงสถาบันของประเทศ 
  • บัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2543 – 2565 
  • การติดตามความก้าวหน้าในการลดก๊าซเรือนกระจกตามที่ระบุไว้ใน NDC (Nationally Determined Contributions) 
  • ผลกระทบและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 
  • ข้อจำกัด ช่องว่าง รวมถึงความต้องการการสนับสนุนที่ได้รับ 

สาระสำคัญทั้ง 5 ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศให้สอดรับกับวิกฤตโลกร้อนในปัจจุบันและอนาคต หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกบรรจุในรายงานคือ การจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลย้อนหลังเกือบ 25 ปี เพื่อสะท้อนภาพรวมของการปล่อยก๊าซในแต่ละภาคส่วน รวมถึงการคำนวณที่มีมาตรฐานตามแนวปฏิบัติของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) รายงานดังกล่าวจะทำให้เห็นถึงทิศทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และช่วยกำหนดนโยบายเพื่อลดการปล่อยก๊าซอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ การติดตามความก้าวหน้าการลดก๊าซเรือนกระจกตาม NDC ซึ่งเป็นเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซที่ประเทศไทยกำหนดไว้อย่างชัดเจน ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนที่มีความสำคัญ โดยในรายงาน BTR1 ได้แสดงข้อมูลการดำเนินงานและความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นจริง พร้อมกับระบุถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญ ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกนำไปประเมินและปรับปรุงเป้าหมายให้มีความทะเยอทะยานมากขึ้นในการลดก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการลดก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น น้ำท่วม ความแห้งแล้ง และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ซึ่งการปรับตัวจะช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ

อย่างไรก็ตาม รายงาน BTR1 ยังได้สะท้อนข้อจำกัดและช่องว่างของประเทศไทยในการจัดทำข้อมูลและดำเนินมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะความต้องการในการสนับสนุนทางการเงิน เทคโนโลยี และการสร้างขีดความสามารถ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

การเปิดตัวรายงาน BTR1 ครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และประชาชน โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ ได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อให้รายงานมีความครบถ้วนสมบูรณ์และสะท้อนสถานการณ์จริงของประเทศไทยก่อนจะนำส่งต่อสหประชาชาติ การจัดทำรายงานครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการยกระดับความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของข้อมูล ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมีบทบาทที่ชัดเจนและเข้มแข็งยิ่งขึ้นในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศในเวทีโลก

นอกจากนี้ การมีรายงาน BTR1 ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลกว่า ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานสะอาด การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หรือการส่งเสริมเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สุดท้ายนี้ รายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 (BTR1) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อกำหนดตามพันธกรณีระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ในการเผชิญกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในทุกภาคส่วน ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล