ในช่วงกลางปี 2567 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง มรดกโลกทางธรรมชาติของไทย กำลังเผชิญกับวิกฤตที่ไม่คาดคิด เมื่อช่างภาพถ่ายภาพนกยูงอินเดียสีขาวและนกยูงสายพันธุ์ผสมในพื้นที่ ซึ่งเป็นสัตว์เอเลี่ยนสปีชีส์ที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชากรนกยูงไทยแท้ที่กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความตื่นตระหนกในวงการอนุรักษ์ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของสัตว์เอเลี่ยนสปีชีส์ที่กำลังคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้สั่งการให้นายเพิ่มศักดิ์ กนิษฐชาต หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ดำเนินการจับนกยูงต่างถิ่นเหล่านี้ออกจากพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา
โดยมีการระดมเจ้าหน้าที่กว่า 20 นาย ทั้งฝ่ายวิชาการป่าไม้และสัตว์ป่า เจ้าหน้าที่จุดสกัด และเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนจากหน่วยพิทักษ์ป่าต่างๆ เพื่อค้นหาและดักจับนกยูงดังกล่าว มีการวางกรงดักและโรยอาหารเพื่อล่อ อย่างไรก็ตาม การจับกุมยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากความว่องไวของนกยูงอินเดียสีขาวและพื้นที่ป่าที่กว้างใหญ่ถึง 1.7 ล้านไร่
นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าได้เสนอให้ใช้วิธีการุณยฆาตหากไม่สามารถจับได้ แม้จะเป็นทางเลือกที่สร้างความสะเทือนใจ แต่ก็จำเป็นเพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ เนื่องจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างนกยูงอินเดียและนกยูงไทยอาจนำไปสู่การเกิดลูกผสมที่มียีนด้อย สุขภาพไม่แข็งแรง และอายุสั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชากรนกยูงไทยในระยะยาว นอกจากนี้ นกยูงอินเดียมีขนาดใหญ่กว่าและอาจมีความสมบูรณ์มากกว่า ทำให้นกยูงไทยตัวเมียอาจเลือกผสมพันธุ์กับนกยูงอินเดีย ส่งผลให้สายพันธุ์ดั้งเดิมค่อยๆ หายไป
ภัยระบบนิเวศท้องถิ่นจากสัตว์เอเลี่ยนสปีชีส์
ผลกระทบของสัตว์เอเลี่ยนสปีชีส์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแย่งอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์พื้นเมือง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบนิเวศ และการแพร่เชื้อโรคใหม่ๆ สู่สิ่งมีชีวิตในท้องถิ่น ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสายพันธุ์ดั้งเดิมได้ ในกรณีของนกยูง ความแตกต่างในพฤติกรรมการกินอาหารระหว่างนกยูงอินเดียและนกยูงไทยอาจส่งผลกระทบต่อพืชท้องถิ่นและสัตว์อื่นๆ ในห่วงโซ่อาหาร
การแทรกแซงของมนุษย์โดยการนำสัตว์ต่างถิ่นเข้ามาในระบบนิเวศใหม่ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สามารถสร้างผลกระทบที่รุนแรงได้ แม้จะเป็นเพียงสัตว์เพียงไม่กี่ตัว ดังที่นักวิทยาศาสตร์สวนสัตว์ชี้ให้เห็นว่า "แค่ตัวเดียวทำลายระบบนิเวศได้" ในกรณีของนกยูงอินเดียที่ห้วยขาแข้ง สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการขนส่งเคลื่อนย้ายด้วยน้ำมือมนุษย์
การจัดการกับสัตว์เอเลี่ยนสปีชีส์เป็นความท้าทายระดับโลก หลายประเทศได้ดำเนินมาตรการควบคุมที่เข้มงวด เช่น ออสเตรเลียที่อนุญาตให้มีการล่าจิงโจ้เพื่อควบคุมประชากร แม้วิธีการเหล่านี้อาจดูรุนแรง แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ในประเทศไทย กรณีนกยูงอินเดียที่ห้วยขาแข้งถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการตัดสินใจที่ยากลำบากในการจัดการกับปัญหานี้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 มีรายงานจากนายเพิ่มศักดิ์ กนิษฐชาต ว่าพบเศษขนและรอยเลือดของนกยูงอินเดียสีขาว คาดว่าอาจถูกสัตว์ผู้ล่าทำร้าย เนื่องจากนกยูงอินเดียมีพฤติกรรมที่ไม่ระมัดระวังตัวเท่านกยูงไทย ส่วนนกยูงพันธุ์ผสมยังไม่พบร่องรอย เจ้าหน้าที่จึงวางแผนเพิ่มจุดติดตั้งกล้องดักถ่ายภาพและเดินสำรวจพื้นที่ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการตัดสินใจเก็บกรงดักออกเนื่องจากพบโขลงช้างป่าเข้ามาหากินใกล้บริเวณที่ตั้งกรง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนในการจัดการปัญหาในพื้นที่ป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศ ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้พิจารณาการุณยฆาตหากจับไม่ได้ เช่นเดียวกับหลายประเทศ แม้ไม่น่ายินดี แต่ต้องคำนึงถึงผลเสียระยะยาว
เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบนิเวศและความสำคัญของการอนุรักษ์สายพันธุ์ท้องถิ่น การตัดสินใจที่ยากลำบากในการจัดการกับสัตว์เอเลี่ยนสปีชีส์สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการรักษาสมดุลระหว่างความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตและการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพในระยะยาว นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาและการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการนำสัตว์ต่างถิ่นเข้าสู่ระบบนิเวศใหม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง