net-zero

Net Zero ฉุดใช้น้ำมัน หนุนอีวี- SAF-ไฮโดรเจน-ขนส่งทางท่อ ลดคาร์บอน 7 ล้านตัน

    เปิดร่าง Oil Plan 2024 รับ Net Zero ฉุดความต้องการใช้นํ้ามันลดลงต่อเนื่อง ดัน 4 กรอบการดำเนินงาน สร้างความมั่นคง สนับสนุนใช้พลังงานสะอาดทั้งรถโดยสารอีวี ใช้ก๊าซไฮโดรเจนในรถบรรทุกขนาดใหญ่ พร้อมเริ่มใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนในปี 2569 ขยายท่อส่งนํ้ามันไปเพื่อนบ้าน

แผนบริหารจัดการนํ้ามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567- 2580 (Oil Plan 2024) ถือเป็นอีกหนึ่งเสาหลักภายใต้แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ที่อยู่ระหว่างการจัดทำ ซึ่งร่างแผนดังกล่าวจะปิดรับฟังในวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 นี้ ก่อนจะรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งหมด นำไปประกอบการปรับปรุงแผน Oil Plan 2024 ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ต่อไป

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า (ร่าง) แผนบริหารจัดการนํ้ามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567-2580 (Oil Plan 2024) ไประเมินถึงถึงทิศทางความต้องการใช้นํ้ามันเชื้อเพลิงโลก มีแนวโน้มลดลง ในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้นํ้ามันสูงสุด (Oil Peak demand) ของประเทศไม่เกินปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) อยู่ที่ประมาณ 148 ล้านลิตรต่อวัน จากปี 2566 ประเทศมีกำลังผลิตอยูที่ 197 ล้านลิตรต่อวัน โดยเมื่อถึงปี 2573 ประเทศจะมีประเทศไทยจะมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ที่ 69 ล้านลิตรต่อวัน

Net Zero ฉุดใช้น้ำมัน หนุนอีวี- SAF-ไฮโดรเจน-ขนส่งทางท่อ ลดคาร์บอน 7 ล้านตัน

อย่างไรก็ตาม การใช้นํ้ามันยังคงถือเป็นเชื้อเพลิงหลัก แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon Neutrality) ในปี 2593 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ์เป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2608 และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี ที่มาแรง จะส่งผลให้ปริมาณการใช้นํ้ามันในภาคขนส่งมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

ดังนั้น การก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานด้วยความมั่นคง และยกระดับธุรกิจพลังงาน และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การบริหารจัดการนํ้ามันเชื้อเพลิงภายใต้ร่างแผน Oil Plan 2024 จึงมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น 1.ด้านการบริหารจัดการนํ้ามันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงที่จะต้องวางแผนทบทวนรูปแบบ และอัตราการสำรองนํ้ามันเชื้อเพลิงให้มีความเหมาะสม รวมถึงจัดหานํ้ามันเชื้อเพลิงให้เพียงพอต่อความต้องการและเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับภาวะวิกฤตด้านนํ้ามันเชื้อเพลิงของประเทศ

2.การบริหารจัดการนํ้ามันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้มีแนวโน้มลดลง บนเงื่อนไขที่กองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง จะไม่สามารถอุดหนุนราคาได้ในอนาคต แต่จะพิจารณาใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อลดภาระของประชาชน อาทิ Target subsidy เป็นต้น

ทั้งนี้ จะกำหนดแนวทางดำเนินการ ได้แก่ ภาคขนส่งทางบก จะปรับลดชนิดนํ้ามันกลุ่มดีเซลให้ บี 7 เป็นนํ้ามันดีเซลพื้นฐาน และบี 20 ให้เป็นนํ้ามันดีเซลทางเลือก พร้อมทั้งปรับสัดส่วนการผสมบี 100 ให้เหมาะสมระหว่าง 5-9.9%

อีกทั้ง สนับสนุนการเปลี่ยนรถโดยสารสาธารณะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี และส่งเสริมให้มีการนำก๊าซไฮโดรเจน มาใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับรถบรรทุกขนาดใหญ่โดยจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2578-2580

ขณะที่กลุ่มนํ้ามันเบนซิน จะกำหนดให้แก๊สโซฮอล์ 95 หรือ แก๊สโซฮอล์ E20 เป็นนํ้ามันพื้นฐานของประเทศต่อไป โดยจะยกเลิกการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 ออกไปภายในปี 2568 โดยจะส่งเสริมการนำเอทานอลไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน(Sustainable Aviation Fuel: SAF)

ภาคขนส่งทางอากาศ จะส่งเสริมการผลิตและการใช้ SAF เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการบิน มุ่งใช้ศักยภาพวัตถุดิบจากในประเทศ เช่น นํ้ามันปรุงอาหารใช้แล้ว (used cooking oil : UCO) นํ้ามันปาล์มดิบ โดยจะส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี Hydroprocessed Esters and Fatty Acids หรือ HEFA ผสมในนํ้ามันเครื่องบินสัดส่วน 1% ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป และเพิ่มเป็น 2% ในปี 2571 และหลังจากนั้น ปี 2573 จะได้ SAF จากเทคโนโลยี Alcohol to Jet หรือ AtJ ที่ผลิตจากเอทานอลมาเสริม ซึ่งจะช่วยให้สัดส่วนการผสม SAF ขึ้นที่สัดส่วน 3 % และจะเพิ่มเป็น 8 % ในปี 2579 เป็นต้นไป

ส่วนภาคขนส่งทางนํ้า จะส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงทดแทนสำหรับเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ อาทิ นํ้ามันเตากำมะถันตํ่าที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ (B24 VLSFO) โดยผู้ค้านํ้ามันเชื้อเพลิงของไทยมีแผนจะเริ่มจำหน่าย Bio-VLSFO ในสัดส่วน 24 % (B24) ให้แก่เรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศภายในปี 2568 เป็นต้นไป

3.การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตและขนส่งนํ้ามันเชื้อเพลิง โดยจะผลักดัน การขนส่งนํ้ามันทางท่ออย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น การเชื่อนโยงเส้นทางท่อของผู้ประกอบการต่างราย การจัดตั้งหน่วยงานกลาง (Single: Operator) ขึ้นมากำกับดูแล พร้อมทั้งศึกษาการขยายเส้นทางการขนส่งนํ้ามันทางท่อ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพการส่งออกนํ้ามันไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และศึกษาแนวทางการปรับปรุงค่าขนส่ง ให้ราคานํ้ามันเท่ากันทั่วทุกภูมิภาค เนื่องจากการขนส่งทางท่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 82% เมื่อเทียบกับการขนส่งทางรถยนต์ โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าเมื่อถึงปี 2580 การขนส่งนํ้ามันทางท่อจะมีสัดส่วน 55% เมื่อเทียบกับการขนส่งนํ้ามันทั้งหมดจากโรงกลั่น จากปี 2565 มีสัดส่วนราว 36 %

4.การส่งเสริมธุรกิจใหม่ในอนาคต เพื่อส่งเสริมการผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานนํ้ามันเชื้อเพลิงให้สามารถปรับตัวจากการเปลี่ยนผ่านพลังงานและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กรมธุรกิจพลังงานได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจใหม่สำหรับขับเคลื่อนในระดับนโยบายประเทศ ประกอบด้วย ธุรกิจปิโตรเคมีพลาสติกชีวภาพ เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ดีเซลชีวภาพสังเคราะห์ และนํ้ามันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ พร้อมเสนอกลไกการขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2570

ทั้งนี้ เมื่อสรุปผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตาม (ร่าง) แผน Oil Plan 2024 ฉบับนี้คาดว่าในมิติเศรษฐกิจ จะมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 113,000 ล้านบาท สามารถช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตไบโอดีเซลและเอทานอลกว่า 71,000 ล้านบาทต่อปี และช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศจากการนำเข้านํ้ามันดิบได้ 59,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนทางด้านมิติสังคมนั้น จะช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร 41,500 ล้านบาทต่อปี และในมิติด้านสิ่งแวดล้อม จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 7.1 ล้านตันต่อปี (mtCO2) เทียบเท่าการปลูกป่าโกงกางขนาด 2.6 ล้านไร่ต่อปี