นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า ปี 2566 เป็นปีที่มีความท้าทายทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ในต่างประเทศทั้งด้านพลังงาน โลจิสติกส์ และภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก
ที่สำคัญคือ ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ภูมิอากาศผันผวนรุนแรงและเป็นปีที่โลกร้อนที่สุด สิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว ความพยายามในการลดก๊าซเรือนกระจกหรือเป้าหมายต่างๆ ที่ทั่วโลกและไทยกำหนดไว้นั้น ต้องมาดูว่าจะทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้หรือไม่
“เป็นที่น่ายินดีว่า เป้าหมายด้านความยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจ TCP มีความคืบหน้าที่สำคัญหลายด้าน ทั้งการลงทุนในต่างประเทศที่ขยายไปควบคู่กับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”
จากความร่วมมือของทุกฝ่ายเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และการจัดการน้ำที่คืนน้ำให้ชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าที่ใช้ในกระบวนการผลิต ตอกย้ำความสำเร็จในการเปลี่ยนจากพันธสัญญาสู่การลงมือทำ
กลุ่มธุรกิจ TCP มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในทุกที่ที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ สอดคล้องกับแนวคิด ESG ด้านธรรมาภิบาล (Governance) ทั้งการกำกับดูแลกิจการอย่างรับผิดชอบ และการบริหารความเสี่ยง ในการเปิดโรงงานฐานการผลิตเรดบูลแห่งใหม่ในจีน มณฑลเสฉวน ด้วยงบลงทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาท
ซึ่งใช้สายการผลิตประสิทธิภาพสูง พร้อมมาตรฐานการอนุรักษ์พลังงานระดับโลก (LEED Certification) และการเปิดโรงงานฐานการผลิตแห่งแรกในเนปาล ร่วมมือกับซาลาส เบเวอร์เรจ ติดตั้งเครื่องจักรที่มีมาตรฐานสูงสุดด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย และใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนมากกว่าครึ่งของที่ใช้ในโรงงาน
ในด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) กลุ่มธุรกิจ TCP ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
ภายในปี 2608 ซึ่งในปี 2566 กลุ่มธุรกิจ TCPได้เป็น 1 ใน 16 องค์กร ที่ได้รับรางวัลระดับโดดเด่นจาก 77 องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 15% เมื่อเทียบกับปีฐาน 2564 รวมทั้งใช้พลังงานหมุนเวียนจากเชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น 5.71% จากปี 2565
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์หลักของกลุ่มธุรกิจ TCP ยังได้รับการรับรองจากการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กระทิงแดง เรดบูล เรดดี้ วอริเออร์ โสมพลัส สปอนเซอร์ แมนซั่ม และเพียวริคุ
ปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มในเครือกลุ่มธุรกิจ TCP สามารถรีไซเคิลได้ทุกส่วนคือทั้ง 100% พร้อมยกระดับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน โดยยกเลิกใช้ขวดพลาสติก PET สี เปลี่ยนฉลากจากพลาสติก PVC เป็น PET ทั้งหมด
ลดน้ำหนักพลาสติก PET ลง 5.7% และเปลี่ยนขวดแก้วกระทิงแดงจากขวดเหลี่ยมเป็นขวดกลม น้ำหนักลดลง 12% นอกจากนี้ยังนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในทุกกระบวนการของธุรกิจ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยในปี 2566 สามารถเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 430 ตัน
กลุ่มธุรกิจ TCP ส่งเสริมการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าคืนน้ำกลับสู่ธรรมชาติและชุมชนให้มากกว่าน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิต (Net Water Positive) ภายในปี 2573 ผ่านโครงการสำคัญคือ “TCP โอบอุ้มลุ่มน้ำไทย” เติมน้ำทั้งบนดินและน้ำใต้ดิน ในบริเวณ 3 ลุ่มน้ำ คือ ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำโขง และลุ่มน้ำบางปะกง
โครงการ TCP โอบอุ้มลุ่มน้ำไทยสามารถคืนน้ำรวมกว่า 17 ล้านลูกบาศก์เมตร ระหว่างปี 2562 - 2566 ซึ่งมากกว่า 5 เท่าของที่ใช้ในกระบวนการผลิตต่อปี สร้างประโยชน์แก่ชุมชมกว่า 42,000 ครัวเรือน ให้มีแหล่งน้ำในการอุปโภค บริโภค และการเกษตรอย่างเพียงพอ
ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างรายได้ให้เกษตรกร ตอบรับแนวคิด ESG ที่ส่งเสริมความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) และสังคม (Social) ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของหลายฝ่าย รวมถึงในบริเวณโรงงานผลิตหลักที่ จ.ปราจีนบุรี ที่มีบริหารจัดการน้ำด้วยหลัก 4Rs คือ Resource จัดสรรพื้นที่เก็บกักสำรองน้ำ Reduce อนุรักษ์การใช้น้ำ Reuse เพิ่มการนำน้ำวนกลับมาใช้ในกิจกรรมต่างๆ และ Recycle นำน้ำที่ผ่านการบำบัดกลับมาใช้ในกิจกรรมนอกกระบวนการผลิต
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจ TCP ได้เตรียมความพร้อมจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าภายในปี 2568 ให้ได้รับการรับรองมาตรฐานการดูแลรักษาทรัพยากรน้ำระดับสากล AWS (Alliance for Water Stewardship Standard)
เดินหน้าจัดสัมมนาใหญ่ ชูวาระเรื่อง “น้ำ”
ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญของ “น้ำ” กลุ่มธุรกิจ TCP จึงเตรียมจัดงานประชุมด้านความยั่งยืน TCP Sustainability Forum 2024 ในธีม “Water Resilience in a Changing Climate” โดยมีนักวิชาการ นักอนุรักษ์ ภาครัฐและเอกชน มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ
และกระตุ้นเตือนถึงความเร่งด่วนที่ต้องร่วมกันลงมือทำ โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมของประเทศไทยที่ต้องปรับตัวเพื่อรับมือให้ทันการเปลี่ยนแปลง โดยจะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ติดตามได้ทาง เฟซบุ๊ก TCP Group
“กลุ่มธุรกิจ TCP มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมขับเคลื่อนสู่ ESG ที่ยั่งยืน ที่ยิ่งทำได้เร็ว ก็ยิ่งดีต่อทุกฝ่าย ในยุคที่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงเร็ว ความยืดหยุ่นในการจัดการน้ำและรับมือกับอนาคต เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมให้เร็วที่สุด เพราะโจทย์อาจจะเปลี่ยนไปในแบบที่เราคาดไม่ถึง” นายสราวุฒิกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง