net-zero

เปิดทางรอดธุรกิจยุคพลังงานสะอาด แนะร่วม "RE100" ชิงความได้เปรียบเวทีโลก

    เปิดทางรอดธุรกิจยุคพลังงานสะอาด แนะร่วม "RE100" ชิงความได้เปรียบเวทีโลก ชี้แนวโน้มการลงทุนในพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ธุรกิจจะจะไม่ได้ส่งออกไปยุโรป หรือเป็นคู่ค้ากับบริษัทที่มีเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ข้อมูลจาก Energy Transition Investment Trends 2024 ของบลูมเบิร์กคาดว่าจากมูลค่าทั่วโลกประมาณ 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2023จะเพิ่มเป็น 4 – 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2030 ซึ่งมาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ ภาวะโลกร้อน (Global Warming) และเหตุผลทางธุรกิจ

ปัจจัยแรก ผลกระทบจาก Global Warmingได้ส่งผลต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังสร้างความเสียหายให้กับโลกคิดเป็นมูลค่าราว 2.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา (ปี 2000 – 2019) ไม่ว่าจะเป็นภาคเกษตรกรรมที่ต้องปรับตัวตามสภาพอากาศ น้ำท่วมที่มีความถี่เพิ่มขึ้น และที่น่ากังวลประการหนึ่งคือ ประเทศไทยติดอันดับ TOP 10 ประเทศที่จะได้รับผลกระทบจาก Global Warming มากที่สุดในโลกด้วย

ปัจจัยที่สอง เหตุผลทางธุรกิจ ปัจจุบันจะเริ่มเห็นนโยบายที่ทำให้ภาคธุรกิจต้องเริ่มลดปริมาณคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมที่ดำเนินการ เช่น การออกมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ที่ผลักดันเก็บภาษีในผลิตภัณฑ์ที่มีการปล่อยคาร์บอนเข้มข้น เช่น เหล็ก ซีเมนต์ และไฟฟ้าบางชนิด ที่นำเข้าไปยังสหภาพยุโรปหรือ CORSIA เริ่มออกนโยบายให้อุตสาหกรรมการบินต้องเริ่มใช้พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
 

ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทขนาดใหญ่ เช่น Tesla, Apple ต่างมีเป้าหมายในการเข้าถึง Net ZeroEmissions ทั้งห่วงโซ่การผลิตภายในปี 2030นั่นหมายความว่า ธุรกิจที่จะเข้าร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่ๆ เหล่านี้จะต้องใช้พลังงานสะอาดทั้ง 100% ด้วย 

เปิดทางรอดธุรกิจยุคพลังงานสะอาด แนะร่วม "RE100" ชิงความได้เปรียบเวทีโลก

สำหรับแนวโน้มดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไกลตัวอีกต่อไป แม้ว่าธุรกิจจะไม่ได้ส่งออกไปยุโรป หรือเป็นคู่ค้ากับบริษัทที่มีเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ในความเป็นจริงเรื่องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน (Sustainability) เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด 

ซึ่งประเทศไทยก็เริ่มมีการกล่าวถึงเรื่องการจัดเก็บภาษีคาร์บอน และการเตรียมออกกฎหมายพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประเทศไทย เหล่านี้จะเริ่มมีผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจในไทยอย่างแน่นอน
 

อย่างไรก็ดี ในการกระตุ้นหรือผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงยุคโลกรวนนี้ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ กล่าวคือ ผู้ประกอบการยังมองว่าเรื่องธุรกิจพลังงานสะอาดหรือธุรกิจแบบสีเขียว (Green) ไม่ได้เป็นเรื่องหลักที่องค์กรต้องให้ความสำคัญลำดับแรกๆ เพราะธุรกิจของตนไม่ใช่ธุรกิจที่เกี่ยวกับ Green และยังมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะดำเนินการ ที่สำคัญคือมีราคาแพงทำให้ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้นไปอีก

“การทลายกำแพงความคิดในเรื่อง Go Green เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องเปลี่ยนผ่านให้สำเร็จ Green จะต้องถูกวางเป็นกลยุทธ์ในอนาคตขององค์กร Green จะเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายหากทำถูกทาง และที่สำคัญ Green จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและปลดล็อคข้อจำกัดการเข้าสู่ที่ตลาดสำคัญที่มีข้อจำกัด” 

นายโทบี้ วอร์คเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายของ RE 100 จากลอนดอน สหราชอาณาจักร กล่าวว่า  RE 100 เป็นโครงการเครือข่ายที่ริเริ่มด้านพลังงานทดแทนระดับองค์กรระดับโลกของ Climate Group โดยรวบรวมธุรกิจขนาดใหญ่กว่า 400 รายที่มุ่งมั่นจะใช้พลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานหมุนเวียน 100% 

เปิดทางรอดธุรกิจยุคพลังงานสะอาด แนะร่วม "RE100" ชิงความได้เปรียบเวทีโลก

ภารกิจคือการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่โครงข่ายคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2040 และเพื่อสนับสนุนภารกิจดังกล่าว กิจกรรมของกลุ่มจะเน้นส่งเสริมไปในพื้นที่ที่องค์กรยังไม่มีการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือมีแต่ยังค่อนข้างน้อยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก 

ซึ่งการเข้าร่วมจะเป็นเสมือนการส่งสัญญาณความต้องการต้องที่ชัดเจนไปยังภาครัฐของแต่ละประเทศให้ตระหนักถึงศักยภาพในการลงทุนที่เกี่ยวข้อง และพร้อมเร่งขจัดอุปสรรคด้านนโยบายเพื่อบริษัทต่างๆ สามารถจัดหาพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 100% ได้อย่างรวดเร็วและราคายุติธรรม โดยมีพื้นที่ในภูมิภาคที่สำคัญ อาทิ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย แอฟริกาใต้ และสำหรับในประเทศไทย ก็หวังจะดึงความร่วมมือจากสมาชิกทั่วโลกที่มีสาขาสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยด้วย 

แม้จะยังบอกไม่ได้ถึงตัวเลขการลดปริมาณคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกของสมาชิกเนื่องจากขนาดของสมาชิก และขนาดกำลังการผลิตมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ตัวเลขที่อ้างอิงถึงได้คือ ขนาดความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมของสมาชิกกว่า 400 รายมีมากกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าต่อปีของทั้งประเทศฝรั่งเศส และใกล้เคียงกับความต้องการใช้ไฟของเยอรมนีอีกด้วย โดยมีกำลังการผลิตเกิน 550TWh (เทระวัตต์-ชั่วโมง) ต่อปี และสมาชิกให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนได้ 100% ภายในปี 2050 ซึ่งในจำนวนนี้รวมแบรนด์ยักษ์ใหญ่ อย่าง Apple, Sony, Samsung Electronics, AB InBev และ Google