2 สัปดาห์ก่อนเวที COP29 หรือการประชุมสุดยอดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประจำปีของสหประชาชาติ ที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน องค์การสหประชาชาติประกาศตัวเลขน่าตกใจว่า โลกอาจเผชิญกับภาวะโลกร้อนสูงถึง 3.1 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ภายในปี 2100 ทำให้เวที COP29 ปีนี้ถูกจับตาว่าจะยกระดับการดำเนินการอย่างไรเพื่อรับมือกับปัญหาโลกรวน
ในฐานะผู้ร่วมที่ได้เข้าร่วม COP28 รวมทั้งร่วมเสวนาบทบาทของอุดมศึกษาในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหา Climate Change ของไทย ศาสตราจารย์ ดร.ชนาธิป ผาริโน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ และ เจ้าของเพจ Carbonoi พูดถึงความก้าวหน้าใน COP28 คือ Loss and Damage Fund ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการดำเนินของกองทุนช่วยเหลือทางการเงิน แก่ประเทศที่เสี่ยงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด กองทุนนี้เปิดตัวในปี 2022 และได้คำมั่นสัญญาเกือบ 300 ล้านดอลลาร์จากที่ประชุม COP28
Global Goal on Adapation
การพัฒนากลไกดำเนินงานเรื่อง Climate Adaptation ที่ผ่านมา เวที COP มีความก้าวหน้ามากเรื่อง Climate Mitigation หรือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นำไปสู่การกำหนดเป้าหมาย NetZero ของประเทศทั่วโลก กระทั่งกลุ่มประเทศตะวันออกกลางตกลงลดการผลิตพลังงานฟอสซิล และมีเป้าหมายเร่งพัฒนากำลังการผลิตพลังงานทดแทนให้มากขึ้นเป็น 3 เท่าภายในปี 2030 แม้จะไม่มีข้อตกลงยกเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยสิ้นเชิงก็ตาม
3 ประเด็นหลักที่น่าจะชัดเจนมากขึ้น
อัพเดตรายงาน Global Stocktake ครั้งใหญ่
ทั้งโลกต่างยอมรับว่าไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ทันตามเป้า 1.5 องศาเซลเซียสตาม Paris Agreement เมื่อปี 2015 ได้ทัน สะท้อนถึงความพยายามที่น้อยเกินไป การจัดทำรายงาน Global Stocktake จะเป็นการติดตามปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกที่สะสมรวมของทุกประเทศตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ (National Determined Contribution – NDC) ซึ่งจะมีการเร่งให้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายขึ้น และถอดบทเรียนว่ายังขาดทรัพยากรใดเพื่อทำให้ทั้งโลกไปถึงเป้าหมาย คาดว่ารายงานฉบับนี้จะถูกสรุปอย่างเป็นทางการใน COP 29 ปลายปี 2025 ที่ประเทศบราซิล
ปฏิรูป Climate Finance
จาก COP28 ที่ได้รับคำมั่นสัญญาใหม่ในการสนับสนุนการเงินเข้าสู่ Loss and Damage Fund ในเวที COP29 จึงเป็นภาคต่อในการวางกรอบการทำงานให้กระจายเงินผ่านกลไกนี้ไปสู่ประเทศที่ต้องการได้เร็วที่สุด รวมถึงการบริจาคให้กับ Green Climate Fund (GCF) และ Adaption Fund เพิ่มขึ้น
แต่เงินทุนที่โลกต้องการยังเกินกว่าข้อผูกพันในปัจจุบัน เวที COP29 ควรให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ เพื่อจัดหาแหล่งเงินทุนใหม่ ท่ามกลางความท้าทายที่ต้องจัดการกับความเห็นต่างต่อการร่างแผนสภาพภูมิอากาศระดับชาติ
สำหรับกองทุน Green Climate Fund ตั้งมาเมื่อปี 2010 แม้จะระดมทุนได้มากกว่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน แต่ยังมีข้อจำกัดในการจัดสรรเงินให้สมดุลระหว่างการ Mitigation และ Adpation และยังห่างไกลจากเป้าหมายที่ต้องการจัดสรรเงิน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปีให้ประเทศกำลังพัฒนา
COP28 ได้มีการตั้งเป้า Triple UP, Double Down หรือ การเพิ่มปริมาณพลังงานสะอาดให้ได้สามเท่าและพัฒนาประสิทธิภาพพลังงานให้ดีขึ้นสองเท่าภายในปี 2030 ซึ่งหากให้รัฐบาลแต่ละประเทศดำเนินการเองย่อมไม่ทันการ ต้องมีภาคเอกชนเข้ามาช่วยเติม และนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวเร่ง แต่ต้องไม่ลืมว่าประเทศที่ไม่มีคนและเทคโนโลยีพร้อม จะให้เลิกใช้ฟอสซิลทันทีคงเป็นไปไม่ได้ ปีนี้จะมีการเปิดกว้างให้คนทุกกลุ่มได้เข้ามามีส่วนร่วม เช่น ชนพื้นเมือง เยาวชน กลุ่มคนในพื้นที่ขัดแย้ง หรือกลุ่มอาชีพที่อยู่ในอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรม (A Just and Equitable Energy Transition)
กลุ่มประเทศตะวันออกกลางยอมรับว่ายังไงก็ไม่สามารถออกจากฟอสซิลได้ คำว่า Transition ของเขาคือ ลด ละ แต่ไม่เลิก แค่จะไม่เสพติดพลังงานจากฟอสซิลอีกต่อไป
จุดยืนของประเทศไทย
ในปีที่ผ่านมา ศ.ดร.ชนาธิป กล่าวว่า ให้ความร่วมมือตามแนวทางของการประชุมนี้มาโดยตลอด และยังเห็นโอกาสในด้านการปรับตัวก่อน กระทั่งใกล้จะมีการออก พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายในปี 2026
บางประเทศอาจจะดูเสียงดังกว่าในเวทีนี้เพราะเขาได้รับความเดือดร้อนหนักจริงๆ ทั้งกลุ่มประเทศอาฟริกาใต้ ประเทศแคริบเบียน และอีกหลายประเทศที่เศรษฐกิจเสียหายหนักจากภัยพิบัติของสภาพอากาศแปรปรวนจนประชาชนต้องอพยพย้ายถิ่น จึงต้องการทวงถามความรับผิดชอบจากผู้ปล่อยมลพิษหลัก
ศ.ดร.ชนาธิป เชื่อว่าเมื่อ Green Climate Fund มีกลไกการเงินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประเทศไทยก็จะได้รับโอกาสในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อมาพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่วางแผนไว้ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะยกระดับเป้าหมายของการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ซึ่งก่อนหน้านี้ เราได้ให้คำมั่นสัญญา NDC จะต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30 – 40 % จากกรณีดำเนินการตามปกติ ภายในปี 2030
ทั้งนี้ การขยับเป้าหมายตัวเลขที่มากขึ้นให้บรรลุเป้า NetZero ในปี 2065 จะต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ พิจารณาความสามารถของทุกหน่วยงาน คำนึงถึงเทคโนโลยีและเงินทุนอย่างรอบคอบ หลังจากนั้นต้องยื่นข้อมูลเสนอต่อคณะกรรมการชาติและคณะรัฐมนตรี ก่อนนำไปแสดงต่อสหประชาชาติในท้ายที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง