new-energy

"บีซีพีจี" อัด 3.2 หมื่นล้าน ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียน เป้าติด DJSI ปี 73

    บีซีพีจี ทุ่มงบ 3.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2568 เดินหน้าขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียน ดัน EBITDA เติบโตไม่ต่ำกว่า 30 % ตั้งเป้าติดใน DJSI และ SET 50 ปี 2573 จากการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 70 % ของกำลังผลิตไฟฟ้า และการได้มาของคาร์บอนเครดิต

บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาพลังงานทดแทน ถือเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยได้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 (2565-2566) และในปี 2567 ได้รับการรับรองให้เป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) (อบก.) และตั้งเป้าหมายที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายใน พ.ศ. 2593

โดยในปี 2566 กลุ่มบริษัทฯ ได้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมภายในประเทศไทย จํานวนทั้งสิ้น 2,328 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งได้มีการชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าวได้ทั้งหมด

ล่าสุดบีซีพีจี ได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนติดอยู่ใน Dow Jones Sustainability Indicesหรือ DJSI และ SET 50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในปี 2573

\"บีซีพีจี\" อัด 3.2 หมื่นล้าน ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียน เป้าติด DJSI ปี 73

นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ บีซีพีจีจะดำเนินงานขับเคลื่อนผ่าน 3 กลยุทธ์ ไดแก่ Greener Diversified Portfolio การขยายพอร์ตโฟลิโอจากการลงทุนพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วนราว 38 % และจากโรงไฟฟ้าที่ก๊าซธรรมชาติที่ปล่อยคาร์บอนตํ่าราว 62 %

โดยตั้งเป้าหมายว่าเมื่อถึงปี 2573 บีซีพีจี จะมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 70% และโรงไฟฟ้าก๊าซฯปล่อยคาร์บอนตํ่า 30%

ล่าสุดบีซีพีจีได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานลม 2 โครงการ ในจังหวัดซาลาย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม กำลังการผลิตติดตั้งรวม 99 เมกะวัตต์ มูลค่ากว่า 4,508 ล้านบาท คาดโอนหุ้นแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2568

 ทั้งนี้ การขยายการลงทุนนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับประเทศไทย เนื่องจากศักยภาพการขยายตัวของการส่งเสริมใช้พลังงานหมุนเวียนยังมีอีก ตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพีฉบับใหม่ที่จะประกาศออกมาใช้ในต้นปี 2568 ที่ระบุสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนบรรจุอยู่ในแผนกว่า 50 % ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด รวมถึงประเทศที่บีซีพีจี ได้เข้าไปลงทุนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา สปป.ลาว เวียดนาม ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ ที่มีโอกาสขยายการลงทุนทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และแบตเตอรี่

 Further than MW Leading Climate Solution การลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่สามารถกักเก็บคาร์บอนเครดิตได้ เพื่อรวบรวมคาร์บอนเครดิตทั้งในรูปแบบที่มาจากการลงทุนเองและการซื้อจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบีซีพีจีดำเนินงานบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ และเป็นการสนับสนุนประเทศบรรลุ Net Zero ได้อีกทางหนึ่ง

 Higher Value to Shareholde การสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น จากการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน สู่การขายโครงการ นำกำไรหรือผลตอบแทนที่ได้นำไปขยายการลงทุนต่อ โดยจะเริ่มดำเนินการในประเทศไต้หวัน จากการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หลังจากบริษัทได้ประสบความสำเร็จจากการดำเนินงานในประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว

นายนิวัติ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 32,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นการลงทุนโครงการใหม่ราว 58 % และใช้สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาราว 42% โดยตั้งเป้าการเติบโตของ EBITDA ไม่ตํ่ากว่า 30% จากปี 2567 บีซีพีจีใช้เงินลงไปไปราว 3,200 ล้านบาท สำหรับการลงทุนใหม่ในสัดส่วนราว 12%

ปัจจุบันบีซีพีจีมีกำลังผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 1,959.4 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ อยู่ในสหรัฐอเมริกา มีกำลังผลิตรวม 857 เมกะวัตต์ เป็นพลังงานหมุนเวียนราว 1,102.4 เมกะวัตต์ อยู่ในไทย 209.7 เมกะวัตต์ สปป.ลาว 404 เมกะวัตต์ ไตหวัน 469 เมกะวัตต์ และฟิลิปปินส์ 19.7 เมกะวัตต์

หากรวมกำลังการผลิตจากโครงการพลังงานลมในเวียดนามอีก 99 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้บีซีพีจีมีกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนอยูที่ 1,201.4 เมกะวัตต์ และส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าโดยรวมขึ้นไปอยู่ที่ 2,058.4 เมกะวัตต์ โดยเป็นโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 1,282.2 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และพัฒนา 776.2 เมกะวัตต์