sustainability

ราช กรุ๊ป ผนึก สปป. ลาว เสริมทักษะสร้างอาชีพด้านเทคนิค-พลังงานทดแทน

    ราช กรุ๊ป ผนึก สปป. ลาว เดินหน้า "สร้างทักษะ สร้างอาชีพ" สานต่อโครงการพัฒนาระยะที่ 3 มุ่งเน้นแรงงานด้านเทคนิค-พลังงานทดแทน

นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าโครงการการศึกษาเสริมทักษะสร้างอาชีพ สปป. ลาว ได้ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2554 หลังจากบริษัท จัดตั้งบริษัทย่อยใน สปป. ลาว โดยดำเนินการต่อเนื่องมา 2 ระยะ เป็นเวลา 12 ปี จะเข้าสู่การดำเนินงานระยะที่ 3 เริ่มตั้งแต่ปี 2567-2573

โดยระยะที่ 3 ใช้งบลงทุนกว่า 28 ล้านบาท สำหรับโครงการฯ ระยะที่ 3 ได้ให้ความสำคัญด้านพลังงานทดแทนมากขึ้น ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานจากขยะ และพืชพลังงาน โดยบริษัทจะสนับสนุนการเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านพลังงานทดแทนให้กับครูอาจารย์ และนักศึกษาจะได้ฝึกปฏิบัติภาคสนามในการติดตั้งและบำรุงรักษาแผงโซลาร์ในชุมชนท้องถิ่นที่ยังขาดแคลนไฟฟ้า ซึ่งเป็นการสร้างคุณค่าทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการนี้มีส่วนร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศของรัฐบาล สปป. ลาว นอกจากนี้ยังได้ยกระดับเป้าหมายไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)

ราช กรุ๊ป ผนึก สปป. ลาว เสริมทักษะสร้างอาชีพด้านเทคนิค-พลังงานทดแทน

นอกจากนี้ โครงการฯ ยังจะดำเนินการขยายโอกาสการฝึกทักษะฝีมือให้กับกลุ่มคนที่อยู่นอกภาคการศึกษาต่อเนื่อง โดยเป็นการจัดฝึกอบรมระยะสั้นด้านเกษตรกรรม หัตถกรรมให้แก่กลุ่มคนเปราะบางต่าง ๆ เช่น นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ผู้พิการ ผู้ต้องหาชั้นดีที่ใกล้พ้นโทษ เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพที่จะมาสร้างสรรค์สังคมและขับเคลื่อนประเทศร่วมกัน

ขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสังคมของกลยุทธ์ความยั่งยืน และโอกาสนี้ บริษัทรู้สึกเป็นเกียรติและขอขอบคุณรัฐบาล สปป. ลาว ที่ได้มอบเหรียญตราพัฒนาให้แก่บริษัทอันเป็นการยืนยันถึงความสำเร็จของโครงการฯ ที่สามารถสร้างคุณค่าจรรโลงสังคมและ สปป. ลาวอย่างยั่งยืน

นายหนูพัน อุดสา อธิบดีกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการและกีฬา สปป. ลาว กล่าวว่า แผนพัฒนาประเทศของรัฐบาล สปป. ลาว ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยมุ่งเน้นพัฒนาแรงงานทักษะขั้นสูงให้กับตลาดแรงงาน โดยกระทรวงศึกษาธิการและกีฬาดำเนินการร่วมกับบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจใน สปป. ลาว ได้ช่วยเสริมสร้างพัฒนาทั้งความรู้และทักษะฝีมือแก่ครูและนักเรียนอาชีวศึกษา โดยเฉพาะในสาขาเชื่อมโลหะ ซ่อมบำรุงทั่วไป เครื่องกล ไฟฟ้าควบคุม และพลังงานทดแทน ให้มีความทันสมัยและสอดรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมได้ดียิ่งขึ้น 

สาเหตุที่สนับสนุนสาขาการศึกษานี้ เนื่องจากสาขาการเหล่านี้มีโอกาสเติบโตสูง เพราะประเทศลาวกำลังพัฒนา เศรษฐกิจกำลังขยายตัว ต้องการแรงงานที่มีทักษะ เมื่อประชาชนมีทักษะและความรู้มากขึ้น จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในประเทศ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยรวม

ราช กรุ๊ป ผนึก สปป. ลาว เสริมทักษะสร้างอาชีพด้านเทคนิค-พลังงานทดแทน

จากการประเมินผลโครงการฯ ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 กรมอาชีวศึกษามีจำนวนครูที่ได้รับอบรมพัฒนาศักยภาพรวมจำนวน 118 คน มอบทุนการศึกษาแก่ครูและนักเรียนสำหรับการศึกษาต่อรวม 51 ทุน พัฒนาและปรับปรุงห้องฝึกปฏิบัติการของโรงเรียนเทคนิคให้ทันสมัยรวม 7 แห่ง และมีนักเรียนชั้นปีสุดท้ายจากวิทยาลัยเทคนิค 7 แห่ง ที่ได้รับการฝึกอบรมพัฒนาทักษะฝีมือก่อนจบการศึกษาเพื่อออกไปประกอบอาชีพในสาขาเป้าหมายรวม 1,646 คน

ที่สำคัญคือนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ หลังจบการศึกษาได้งานทำ ได้ศึกษาต่อ รวมถึงเป็นผู้ประกอบการรายย่อยเอง ซึ่งผลการประเมินการดำเนินโครงการระยะที่ 2 มีนักเรียนที่มีงานทำและศึกษาต่อ รวมร้อยละ 88.15 ซึ่งบุคลากรเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของ สปป. ลาว ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

สำหรับโครงการฯ ระยะที่ 3 ได้ปรับวัตถุประสงค์และแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ สปป. ลาว สถานการณ์ของโลก และบริบทของสังคมด้วย โดยจะมุ่งเน้นการสร้างเสริมฐานการเรียนรู้และการฝึกปฏิบัติให้ทันกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม

โดยกลุ่มเป้าหมาย จะเน้นครูและนักเรียนใน 8 วิทยาลัยเทคนิค ดังนี้ 1. วิทยาลัยอาชีวศึกษาแขวงคำม่วน 2. วิทยาลัยเทคนิคแขวงเวียงจันทน์ 3. วิทยาลัยเทคนิคแขวงหลวงพระบาง 4. วิทยาลัยเทคนิควิชาชีพแบบประสมแขวงไซยะบุรี 5. โรงเรียนอาชีวศึกษาเทคนิคบอลิคำไซ 6. วิทยาลัยเทคนิคแขวงจำปาสัก 7. วิทยาลัยเทคนิควิชาชีพแบบประสมแขวงเซกอง 8. วิทยาลัยเทคนิควิชาชีพแบบประสมแขวงอัตตะปือ

ราช กรุ๊ป ผนึก สปป. ลาว เสริมทักษะสร้างอาชีพด้านเทคนิค-พลังงานทดแทน

รวมทั้งยกระดับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคนิค ทักษะต่างๆ ตลอดจนทัศนคติการทำงานให้กับนักเรียน เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีผลิตภาพและสอดคล้องกับความคาดหวังของตลาดแรงงาน เนื่องจากปัจจุบันการเลือกเรียนสายอาชีวศึกษามีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะมีตำแหน่งงานเปิดกว้างรองรับ และตลาดกำลังขยายตัวสูงขึ้นตามความมุ่งมั่นของสากลที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2593