In Brief
"Temu" ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ในวงการอีคอมเมิร์ซด้วยกลยุทธ์การขายที่นำเสนอความหลากหลายของสินค้าแต่สนนราคาต่ำ แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้มาพร้อมกับข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น เช่น ขยะบรรจุภัณฑ์ที่ถูกผลิตออกมามากเกินไป การปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการขนส่ง และการส่งเสริมการบริโภคที่ไม่จำเป็น
PDD Holdings บริษัทแม่ของ Temu ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วกับ Pinduoduo กำลังมุ่งสู่การครองตลาดอีคอมเมิร์ซระดับโลก โดยใช้จุดแข็งด้านราคาและความหลากหลายของสินค้า กลยุทธ์นี้ส่งผลให้ Temu ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว แซงหน้าแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon และ Shein ในด้านการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมของ Temu ครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจโดยรวม
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Temu นำมาซึ่งปริมาณการจัดส่งสินค้าจำนวนมหาศาล โดยบริษัทจัดส่งพัสดุมากกว่า 1 ล้านชิ้นต่อวันทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ การดำเนินงานยังพึ่งพาศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้แพลตฟอร์มนี้กลายเป็นผู้บริโภคพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ และพลังงานส่วนใหญ่ยังมาจากแหล่งพลังงานที่ไม่หมุนเวียน ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมากตามมา
Temu เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เปิดตัวในปี 2022 โดย PDD Holdings Inc. ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในบอสตัน สหรัฐอเมริกา บริษัทนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในแอปช้อปปิ้งยอดนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเสนอสินค้าหลากหลายในราคาที่ต่ำมาก
โมเดลธุรกิจของ Temu เน้นสินค้าราคาถูกและการหมุนเวียนเร็ว เชื่อมโยงผู้บริโภคโดยตรงกับผู้ผลิตซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน โดยใช้แนวคิด Next-Gen Manufacturing (NGM) ในการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อจับคู่อุปสงค์และอุปทาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์จนถึงการจัดส่ง
การศึกษาโดย Brightly ชี้ให้เห็นว่าการช้อปปิ้งออนไลน์สร้างขยะบรรจุภัณฑ์มากกว่าการซื้อแบบออฟไลน์ถึง 4.8 เท่า ด้วยปริมาณการจัดส่งของ Temu ที่มากกว่า 1.6 ล้านชิ้นต่อวัน จึงก่อให้เกิดขยะบรรจุภัณฑ์จำนวนมหาศาล นอกจากนี้ การเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพของสินค้า ทำให้ผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานสั้น ส่งเสริมพฤติกรรมการทิ้งขว้างและการซื้อใหม่อย่างต่อเนื่องในผู้บริโภค
การขนส่งสินค้าข้ามประเทศจากจีนไปยังผู้บริโภคทั่วโลกมีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) รายงานว่า 80% ของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนใช้การขนส่งทางอากาศ ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าการขนส่งทางเรือ
อุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่น มีส่วนในการสร้างขยะประมาณ 92 ล้านตันต่อปี และใช้น้ำเกือบ 79 ล้านล้านลิตร ส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว
จากการประมาณการ หาก Temu ยังคงไว้ซึ่งปริมาณการจัดส่งเท่าเดิม จะส่งผลให้มีการจัดส่งมากกว่า 584 ล้านชิ้นต่อปี การขนส่งทางอากาศแต่ละครั้งจากจีนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 10 กิโลกรัม ดังนั้น การการช้อปปิ้งออนไลน์จากแพลตฟอร์มนี้อาจก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 5.8 ล้านตันต่อปี เฉพาะจากการขนส่งเท่านั้น
ในแต่ละวัน การจัดส่งพัสดุจำนวนมากของแพลตฟอร์มดังกล่าว ส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 16,000 ตันจากการขนส่งทางอากาศ นอกเหนือจากขยะบรรจุภัณฑ์จำนวนมาก การสั่งซื้อสินค้าเพียงครั้งเดียวอาจก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 10 กิโลกรัม โดยไม่รวมผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ของตัวผลิตภัณฑ์
แม้ว่า Temu จะสร้างความสะดวกสบายและความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภค แต่ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นที่น่ากังวลไม่น้อย การสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นความท้าทายสำคัญที่ Temu และบริษัทอีคอมเมิร์ซอื่นๆ เผชิญและหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน
Temu ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในตลาดสำคัญทั่วโลก โดยมีงบประมาณการตลาดประจำปีถึง 696 ล้านปอนด์ โดยประเทศที่มีการจัดซื้อ Temu สูงสุด ได้แก่
Temu ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย โดยผู้ที่มีอายุ 25-44 ปีเป็นกลุ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดที่ 23% บริษัทจัดหาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มาจากฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะจากจีน
แม้ว่า Temu จะระบุว่ามีการปลูกต้นไม้ชดเชยมากกว่า 5 ล้านต้น แต่ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนมีสัดส่วนไม่ถึง 1% จากทั้งหมด ทั้งนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสของบริษัทในด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ความสำเร็จทางการค้าของ Temu มาพร้อมกับความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้บริษัทจำเป็นต้องคิดใหม่เกี่ยวกับระบบโลจิสติกส์ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่เป็นสาธารณะเกี่ยวกับการายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่แท้จริงของการช้อปปิ้งบน Temu ยังคงขาดแคลน
นอกจากนี้ Temu ยังเผชิญกับข้อกังขาด้านจริยธรรมที่สำคัญ การตรวจสอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ได้เน้นย้ำถึง ความเสี่ยงสูงมากของสินค้าที่อาจมาจากภูมิภาคที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น ซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานในห่วงโซ่อุปทาน
ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเป็นอีกประเด็นสำคัญ โดยมีการฟ้องร้องคดีแบบกลุ่มที่กล่าวหาว่า Temu ใช้มัลแวร์และสปายแวร์ในแอปเพื่อสอดแนมลูกค้า
ในแง่ผลกระทบทางการเงิน กลยุทธ์การกำหนดราคาเชิงรุกของ Temu ได้สร้างความท้าทายให้กับธุรกิจขนาดเล็กและทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของการดำเนินงานที่มีต้นทุนต่ำ ประเด็นเหล่านี้ทั้งหมดได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงทั่วโลกเกี่ยวกับจุดยืนทางจริยธรรมของ Temu และผลกระทบที่กว้างขึ้นของโมเดลธุรกิจในลักษณะนี้
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า Temu ยังต้องเพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับความพยายามด้านความยั่งยืนและการดำเนินการด้านธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESG) ที่เกิดขึ้นจริง การขาดข้อมูลสาธารณะทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องของการกล่าวอ้างด้านความยั่งยืน และอาจนำไปสู่ข้อกล่าวหาเรื่อง “การฟอกเขียว”
ในแง่ของการรีไซเคิล ผลิตภัณฑ์ของ Temu ส่วนใหญ่ทำจากวัสดุที่รีไซเคิลได้ยาก เช่น พลาสติกและเส้นใยสังเคราะห์ ตัวอย่างเช่น อะคริลิกที่ใช้ในเสื้อผ้าและเครื่องประดับราคาไม่แพง อาจใช้เวลาหลายร้อยปีในการย่อยสลายและมีการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพน้อยมาก
นอกจากนี้ การขนส่งทางอากาศที่ทางบริษัทพึ่งพาเป็นหลัก ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการขนส่งทางทะเลประมาณ 50 เท่า สำหรับบรรจุภัณฑ์ขนาด 1 กิโลกรัม ปริมาณการจัดส่งที่สูงยิ่งทำให้ต้นทุนการขนส่งคาร์บอนเพิ่มสูงขึ้น
ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของ Temu มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง การผลิตกระโปรงเพียงตัวเดียวปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการผลิตขวดพลาสติกถึง 200 เท่า และมากกว่าการขับรถหนึ่งไมล์ถึง 15 เท่า อุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ Temu รับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลก 10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการบินระหว่างประเทศและการขนส่งทางทะเลรวมกัน
เมื่อเทียบกับคู่แข่ง Temu โดดเด่นด้านราคาถูกและความหลากหลายของสินค้า แต่แพลตฟอร์มอื่นมักมีข้อได้เปรียบด้านคุณภาพ การบริการลูกค้า และการจัดส่ง เช่น AliExpress เสนอราคาแข่งขันได้พร้อมสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม Amazon มีชื่อเสียงด้านการจัดส่งรวดเร็วและบริการลูกค้าดีเยี่ยม ขณะที่ eBay มีจุดแข็งในตลาดสินค้ามือสอง
แม้ Temu จะประหยัดต้นทุนได้มากกว่า แต่คู่แข่งที่มีชื่อเสียงมักมีความสมดุลที่ดีกว่าระหว่างราคาและความน่าเชื่อถือ ผู้บริโภคควรพิจารณามูลค่าที่แท้จริงซึ่งรวมถึงคุณภาพ ความยั่งยืน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว นอกเหนือจากราคาเพียงอย่างเดียว การตระหนักถึงผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้การตัดสินใจซื้อมีความรับผิดชอบมากขึ้น
อ้างอิง: Greenmatch
ข่าวที่เกี่ยวข้อง