ตำนานรัฐบาล 3 ป.
กับ พล.อ.เปรม รัฐบุรุษคู่แผ่นดิน
ช่วงเวลาของเหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ภายหลังที่มีรัฐบาล คสช.เข้ายึดอำนาจ และบริหารปกครองบ้านเมืองมาร่วม 5 ปี นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยมาสิ้นสุดและเริ่มเข้าสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ในปัจจุบันนั้น ฉายาที่สื่อมวลชนใช้เรียกขานรัฐบาลยุคปัจจุบัน จากที่เคยเรียกรัฐบาล คสช. ต่างพร้อมใจกันหันมาเรียกรัฐบาลนี้ว่า “รัฐบาล 3 ป.” หรือ “พี่น้อง 3 ป.” โดยถือเอาความเป็นพี่น้องของ 3 นายทหาร ที่มีตำนานความรักความผูกพันต่อกันในหน้าที่ราชการทหารมาในอดีต ก่อนการก้าวเข้ามาสู่ความมีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ ซึ่งได้แก่ ป.ที่ 1 คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “บิ๊กตู่” นายกรัฐมนตรี ป.ที่2 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “บิ๊กป้อม” รองนายกรัฐมนตรี ฐานะพี่ใหญ่ และ ป.ที่ 3 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา “บิ๊กป๊อก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ฐานะพี่รอง
ความสัมพันธ์อันแนบแน่นของ 3 พี่น้องทหารหาญทั้ง 3 ท่านนี้ เป็นที่ทราบโดยทั่วไป เหตุที่สื่อมวลชนทั้งหลายเรียกรัฐบาลนี้ว่า “รัฐบาล3 ป.” คงพิจารณาโดยเห็นว่า ทั้ง 3 ท่านมีบทบาทสำคัญ ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารประเทศ และการแก้ไขปัญหาทางการเมือง กับการกำหนดนโยบายสำคัญๆ ของประเทศ รวมถึงความมั่นคงของรัฐบาลว่า จะอยู่ได้หรือไม่
หากย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไปในยุคระหว่างปี 2523-2531 อันเป็นช่วงเวลาที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 16 ของไทย น่าจะถือได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของรัฐบาล 3 ป. ที่เคยสร้างผลงานการบริหารบ้านเมือง เป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนชาวไทยมาแล้ว จนนายกรัฐมนตรีพลเอกเปรม ได้รับการยกย่องให้เป็น “รัฐบุรุษคู่แผ่นดิน” แต่ก็มีน้อยคนที่จะทราบหรือทราบก็อาจลืมเลือนไปว่า ยุคนั้นเป็นยุครัฐบาล 3 ป. เช่นเดียวกัน แต่อาจจะแตกต่างกันในบริบททางการเมืองและบทสรุปสุดท้าย ของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า 3 ป.ยุคพลเอกเปรม กับ 3 ป.ยุคพลเอกประยุทธ์ จะเป็นอย่างไร
ผู้เขียนทราบเรื่องนี้มาจากคำบอกเล่าโดยตรง จากการถ่ายทอดของน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ด้วยความใคร่อยากจะรู้ของผม จึงถามท่านประสงค์ว่า “ในช่วงเวลาที่ป๋าเป็นนายกรัฐมนตรี ในการทำงานและการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ในทางการเมือง การบริหารและการแก้ไขปัญหาวิกฤติต่างๆ นั้น ท่านปรึกษาหารือใครบ้าง และมีใครเป็นทีมงานคนสำคัญขณะนั้น”
ท่านประสงค์ เล่าให้ฟังว่า รัฐบาลขณะนั้นมีบุคคล 3 ป.เป็นสำคัญคือ 1.พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี 2.พล.อ.ประจวบ สุนทรางกูร เพื่อนทหารร่วมรุ่น เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ 3.น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นเหมือนเสนาธิการทางการเมืองส่วนอีก 2 ป. คอยสนับสนุนและช่วยงานด้านข้อมูลและการข่าว คือ 1.นายปิยะ จักกะพาก อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ 2.พล.ต.อ.เภา สารสิน อดีตอธิบดีกรมตำรวจ(ขณะนั้น) โดยแกนหลักของรัฐบาลคือ 3ป. ดังที่ได้กล่าวมา
ตำนานของรัฐบาล 3ป. จึงเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคนั้นครับ ซึ่งต้องถือว่าเป็นรัฐบาล 3ป. ที่มีองค์ประกอบที่ลงตัวและเหมาะสมที่สุด ที่ได้ร่วมกันทำงานฝ่าฟันวิกฤติแก้ปัญหาประเทศให้สำเร็จลุล่วงมาได้ด้วยดีในทุกๆด้าน ไม่ว่าการแก้ไขวิกฤติทางเศรษฐกิจ, แก้ปัญหาความยากจน, วางรากฐานด้านการพลังงานของชาติ, แก้ปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคง จากลัทธิคอมมิวนิสต์, ขจัดการทุจริตในวงราชการ, สร้างความมั่นคงทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ต้านการรัฐประหารได้ทุกครั้งที่เกิดขึ้น, เปิดตลาดการค้าในต่างประเทศ ทำให้ไทยมีบทบาทสำคัญบนเวทีโลก
ดังปรากฏผลงานอันยิ่งใหญ่ของรัฐบาลในยุคนั้น ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดแต่ละเรื่องแต่ละปัญหา แต่ละนโยบาย ที่นำความสำเร็จมาสู่การบริหารของรัฐบาล และสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ จนส่งผลให้วิกฤติประเทศในทุกๆ ด้านคลี่คลายหมดสิ้น ฐานะการเงินการคลัง และเศรษฐกิจของประเทศโชติช่วงชัชวาล ในช่วงเวลา 8 ปีของรัฐบาลเปรม และทำให้ระบอบประชาธิปไตยมีความมั่นคงต่อเนื่องนั้น ได้ปรากฏในหนังสือ “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษคู่แผ่นดิน” เขียนโดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่จัดพิมพ์โดยฐานเศรษฐกิจร่วมกับซีเอ็ดบุ๊ค ที่ท่านทั้งหลายหาซื้ออ่านได้ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊คและตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป ซึ่งเป็นผลงานการบริหารประเทศของรัฐบาล 3ป.ในยุคอดีต
อีกคำถามหนึ่งที่ผมถาม น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ขอนำมาเล่าสู่ฟัง คือ กุญแจแห่งความสำเร็จในการบริหารประเทศของพลเอกเปรม มีปัจจัยสำคัญคืออะไร ก็ได้รับคำตอบที่เป็นบทสรุปสุดยอดแห่งความรู้ บทเรียน และศาสตร์แห่งศิลปะการบริหาร ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง โดยท่านได้สรุปให้ฟังว่า ผู้บริหารประเทศที่ยิ่งใหญ่ ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารบ้านเมือง คือผู้ที่ยึดกุมหัวใจของการบริหารไว้อย่างมั่นคงใน 2 ประการ คือ
1.การออกความคิด วางแผน กำหนดนโยบาย และวางยุทธศาสตร์ ที่ดีถูกต้องและสอดคล้องกับความเป็นจริง 2.คือการเลือกใช้คนดีมีคุณธรรมมีความรู้และความสามารถมาทำงาน เพื่อไปปฏิบัติภารกิจที่ได้ออกความคิดไว้นั้น ให้สอดคล้องเหมาะสมกับงาน คนเก่งหากโกง ไม่ใช่คนดีป๋าก็จะไม่เลือกใช้ สรุปก็คือการออกความคิดและการเลือกใช้คน คือศิลปะสำคัญในการบริหารของผู้นำประเทศ
เมื่อมีการพูดถึงรัฐบาล 3 ป.กันมากในยุคปัจจุบัน จึงทำให้นึกถึงรัฐบาล 3 ป.ในอดีต หากรัฐบาล 3 ป. ในยุคปัจจุบันจะได้นำแบบอย่างและบทเรียนในอดีตมาเป็นแนวทาง โดยเคารพศึกษาความเป็นจริงและเก็บรับบทเรียนในอดีต มาเป็นเครื่องชี้นำ เพื่อการก้าวเดินสู่อนาคตที่ดี ประเทศไทยก็อาจจะมีรัฐบุรุษคนที่ 2 และคนต่อๆ ไปในแผ่นดินไทยเกิดขึ้นอีกได้
วันนี้ประเทศได้สิ้น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว ด้วยความคารวะอาลัยของปวงชนชาวไทย ประชาชนชาวไทยจึงโหยหาผู้นำที่ยิ่งใหญ่คนใหม่ ที่จะมากอบกู้แผ่นดินทดแทน เพื่อนำพาบ้านเมืองก้าวไปสู่ความก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง มั่นคงยิ่งๆ ขึ้น ด้วยหวังว่าประเทศไทยคงจะมีบุคคลเยี่ยงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เกิดขึ้นมาอีกในแผ่นดิน ภายใต้รัฐบาล 3 ป.ในยุคปัจจุบัน