คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่แตกกระสานซ่านเซ็นออกมาจากพรรคเพื่อไทย นำทัพใหญ่และหัวใจที่บอบช้ำ อันประกอบไปด้วย โภคิน พลกุล, พงศกร อรรณนพพร, วัฒนา เมืองสุข, น.ต.ศิธา ทิวารี, ต่อพงษ์ ไชยสาส์น, และกลุ่มหนุ่มสาวรุ่นใหม่ มาเยือนกองบรรณาธิการฐานเศรษฐกิจและเครือเนชั่น
มีความแน่นอนและมุ่งมั่นรวบรวมผู้ร่วมอุดมการณ์ คนหนุ่มสาว เดินหน้าตั้งพรรคการเมืองใหม่ ให้คนไปยื่นจดทะเบียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) แล้วในชื่อพรรคไทยสร้างไทย
“ประเทศเดินต่อลำบากมากในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง อันแรกที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อน คือต้องไม่ดึงสถาบันมาอยู่ในวังวนความขัดแย้ง” คุณหญิงสุดารัตน์ยืนยันอย่างหนักแน่น
ทีมไทยสร้างไทยมองว่าต้องทำการเมืองแบบใหม่ หลังจากประเทศตกอยู่ในหลุมดำมานานในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ปมประเด็นหลักที่ต้องทำ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่ง โภคิน พลกุล ย้ำว่าต้องมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) ขึ้นมายกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปลดล็อกการเมืองให้พื้นที่ทางการเมืองกับประชาชนมากขึ้น ร่างกติกาใหม่ไม่ให้บิดๆ เบี้ยวๆ เหมือนที่เป็นอยู่ และการทำพรรคการเมืองก็ไม่ใช่เพื่อแตกสาขาเพื่อเก็บทุกคะแนนเสียง ตามกติกาแบบนี้
ขณะนี้ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันเกือบทั้งหมด ในการเลือกตั้ง สสร. มาเขียนกติกา มาเขียนรัฐธรรมนูญกันใหม่ให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ซึ่งที่จริงแล้วในแง่รัฐบาล หรือ ส.ว. ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะกว่าจะทำเสร็จ ประเมินกันว่ากว่าจะมีการเลือกตั้ง ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่กันได้ สภาฯก็อยู่ครบเทอม หรือเกือบๆ ครบเทอม
ที่ทีมสร้างไทยเห็นว่าเป็นวิกฤติประเทศอีกประการ และเป็นปัญหาที่ต้องร่วมไม้ร่วมมือแก้ไขเร่งด่วน คือ การลดอำนาจภาครัฐ ที่ใครๆ ขนานนามกันในขณะนี้ว่าเป็นรัฐราชการ หรือราชการที่มีอำนาจมากเกินไป และการใช้อำนาจของภาคราชการไปกระทบสิทธิและการทำมาหากินของประชาชน
“ระบบราชการ" ซึ่งใหญ่โตอยู่แล้ว แต่ถูกทำให้ใหญ่ขึ้นไปอีกตั้งแต่หลังการรัฐประหาร และสืบทอดอำนาจ มีฝ่ายบริหารมาจากภาคราชการ 100% กลายเป็น “รัฐราชการ” ที่ใหญ่โตขึ้นตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประชาชนตัวเล็กลีบลง
“ไม่ได้หวงอำนาจ เฉพาะข้าราชการใหญ่ๆ กันแล้ว แต่น่าตกใจมากที่ข้าราชการระดับกลางๆ กลับหวงอำนาจเป็นอย่างมากและก่อให้เกิดปัญหาตามมา เช่นอย่างกรณีการขอใบอนุญาตต่างๆ นอกจากมีหลายหน่วยงานแล้วยังสร้างความยุ่งยากให้ประชาชน”
เรื่องพวกนี้พรรคไทยสร้างไทยเป็นรัฐบาล จะแก้ปัญหาทันที โดยออกพ.ร.ก.สักฉบับหนึ่งปลดล็อกอำนาจพวกนี้เสียเป็นการชั่วคราว อย่างบางอาชีพให้ทำไปก่อน มาขออนุญาตทีหลัง เพราะมันต้องเร็วแข่งกับโลกเทคโนโลยีที่ไปเร็ว แต่ก็มีข้อยกเว้น ถ้าหากธุรกิจประเภทใดที่ต้องเกี่ยวพันกับความปลอดภัยชีวิตประชาชน ต้องขออนุญาตก่อน
“ถ้าเราเป็นรัฐบาลจะทำให้เสร็จภายใน 3 วันแรก ออกพ.ร.ก.ขึ้นมาสักฉบับก็เรียบร้อย เราต้องออกจากกับดักนี้ให้ได้” โภคินลั่น
ถัดมาที่ไทยสร้างไทยต้องการทำ คือ ลดความเหลื่อมล้ำ ที่ประเทศไทยแทบขึ้นมายืนที่ 1 แล้ว สำหรับประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำที่สุดในโลก
ทุกคนทราบดีว่ามีข้อมูลที่ยืนยันคน 10% ครอบครองทรัพย์สินและความมั่งคั่งของประเทศ 90% หรือคน 90 % ของประเทศ เป็นกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงการจัดสรรทรัพยากร ซึ่งเป็นปัญหาทำให้คนยิ่งยากจนลง
เราต้องการเสริมพลังและสร้างโอกาสให้กับ “คนตัวเล็ก” ในสังคม นั่นก็คือกลุ่มคนทำมาหากินทุกอาชีพ รวมทั้งเอสเอ็มอี
ต้องมีการตั้ง “สภาเอสเอ็มอี” เพื่อเสริมพลังคนตัวเล็ก เหมือนกับกลุ่มทุนใหญ่ที่มีสภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย ที่พูดอะไรรัฐบาลก็ฟัง ขณะเดียวกันก็ต้องตั้งกองทุนเอสเอ็มอี กองทุนสตาร์ทอัพ และกองทุนวิสาหกิจชุมชน เพื่อช่วยเหลือคนตัวเล็กให้เข้าถึงแหล่งทุน และสร้างโอกาสในการยืนบนขาตัวเอง
“จะมีแพคเกจใหญ่ออกมาที่ทำแล้วมีผลทั้งประเทศในการเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน ตอนนี้ต้องขออุบไว้ก่อน เดี๋ยวออกไปแล้วมีการลอกการบ้านกันอีก” วัฒนา เมืองสุข ย้ำ
พร้อมกับยืนยันว่าทีมเขามีบุคลากรพร้อม ทีมที่ร่วมดำเนินการงานการเมืองไม่เป็นพวก “ขยะเปียก” ซึ่งไปที่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ทำประโยชน์ไม่ได้ เหมือนที่นักการเมืองหลายคนเป็นอยู่ขณะนี้ และกลุ่มของเขายังเปิดรับคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาร่วมงานการเมือง ที่ต้องการผลักดันประเทศไปข้างหน้า ไม่เกี่ยวข้องความขัดแย้ง แบ่งฝักฝ่าย
“ต้องการทำให้เป็นผลงานมาสเตอร์พีซชิ้นสุดท้าย เพื่อส่งต่อประเทศให้กับคนรุ่นถัดไป” คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำ
ต้องติดตามดูพรรคการเมืองน้องใหม่พรรคนี้ ที่แตกตัวออกมาจากเพื่อไทย จะเป็นพรรคของมวลชนอย่างแท้จริง สานฝันอุดมการณ์ของตัวเอง ได้หรือไม่!!!