วิทยากรวัยเดียวกับผมซึ่งสนิทคุ้นเคยกับผม จนแทบจะแยกร่างออกจากกันไม่ได้ เขาก็มาชวนผมคุยว่า“ถ้านักเรียนชาวอังกฤษวัยอนุบาลฟังครูสอนว่า 1 ปอนด์ มันหนักเท่ากับ 0.45359237 กิโลกรัม เด็กจึงหยิบเอา วัตถุปรุงแต่ง 100 ปอนด์ เอามาทดลองชั่งดูว่า หนักกี่กิโลกรัม เท่าที่เคยเรียนเลขคณิต ผมก็พอจะคำนวณได้อยู่ว่า 100 ปอนด์ จะหนัก 45.359237 กิโลกรัม
แต่ปรากฏว่า หลังจากลองชั่งดูแล้วตาชั่งมันไม่กระดิกเลย เขาจึงทำรายงานส่งครูว่า เครื่องชั่งเสื่อมคุณภาพ หรือ พ่อค้าขี้โกง ล็อคเครื่องชั่งเอาไว้ หรือ วัตถุดิบที่เอาไปชั่งคงจะด้อยคุณภาพ อาจารย์คิดว่า เด็กคนนั้นจัดว่ามีแววเป็นนักวิทยาศาสตร์ในอนาคตได้ไหม ถ้าอาจารย์เป็น ท่านเอดิสัน ผู้คิดค้นหลอดไฟฟ้า อาจารย์จะรับเด็กคนนี้ไว้เป็นลูกศิษย์หรือเปล่า?”
ผมก็ฟังเพลินๆ เพราะไม่ได้คิดจะทำข้อสอบเพื่อชิงรางวัลโนเบล จึงตอบไปตามฟอร์มแบบคุยแก้เหงาว่า “ผมว่าเข้าข่ายนะ อย่างน้อยที่สุด เริ่มทดลองอย่างเป็นกระบวนการตามหลักวิทยาศาสตร์ เพราะว่า หัวใจของวิทยาศาสตร์ คือ การค้นคว้า
ว่าแต่ว่า เด็กสายวิทย์คนนี้เขาเอาอะไรไปชั่งล่ะ” ไอ้หมอนี่มันเฉลยหน้าตาเฉยเลยว่า “ตาชั่งมันจะกระดิกได้ไงล่ะ เด็กแกเอาธนบัตรชาติอังกฤษใบละ 100 ปอนด์ มาทดลองชั่งดู” (ฮา) เขาเป็นคน แซ่วอน และ เป็นชาวเหนือสองสายพันธุ์ คือ เหนือมาเลย์ กับ เหนือความตาย (ฮา)
ผมหัวเราะหึๆ พร้อมกับนึกอยู่ในใจว่า “สกรู(Screw)…ว่าแล้ว ขันหลวมนิดเดียว ร่วงจนได้” นี่แหละ พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า “อย่าปลงใจเชื่อเพราะเป็นครูของเรา เพราะเคารพนับถือว่าคนพูดเป็นสมณะผู้นำทางจิตวิญญาณของเรา เป็นศาสดาของเรา”
ยุคนี้เฟคนิวส์มันลอยวนปนเปื้อนอยู่ในหู เพราะเราไว้ใจพวกกูรู้! ระดับ งูๆปลาๆ นี่แหละ อย่างไรก็ตาม สำหรับ วิทยากวน ผู้นี้ ผมไม่ถือสา เนื่องจาก หยิกเล็บเจ็บเนื้อ อีกทั้งอุตส่าห์เล่ามุกปลุกหมอง อนึ่ง อาศัยรู้ใจว่าเขาเป็นคนมีอารมณ์ขัน อำมากเท่าไหร่ผมก็ได้มุกเพิ่มเยอะเท่านั้น ใครเคยอ่านแคปชั่นสายกวนจะเจอมุกยียวนว่า อย่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด ประเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีอะไรทำ (ฮา)
คู่ชีวิตที่แก่ช้ามักจะมีแฟนเป็นคนสายฮา! ว่าแล้วก็นึกถึง รมต.กระทรวงศึกษา ดร.บุญสม มาร์ติน ท่านนั่งเครื่องบินมาลงที่ดอนเมือง ปรากฏว่า เครื่องบินมีปัญหาจึงบินครูดกับหลังคาโรงงานทอผ้า โคลงเคลงจะกระแทกพื้น ท่านนับถือคริสต์จึงตั้งจิตเอามือแตะไหล่แตะอกรีบเปล่งภาวนาว่า “พระนาม พระบิดา พระบุตร พระจิต อาเมน” จบคำว่า อาเมน ก็เห็นเต็มตาว่า เอาไม่อยู่ ท่านจึงภาวนาเพิ่มว่า “พระพุทธเจ้าด้วย” (ฮา) ปรากฏว่ารอดเลย!
Professor Eric Weiner เขียนเรื่อง The Geography of Bliss แปลว่า “ภูมิศาสตร์แห่งความสุข” แวะถาม ร้านซีเอ็ด หรือ ร้านนายอินทร์ ดูว่า ยังพอจะมีให้อ่านบ้างไหม ผมไม่กล้าระบุว่า วางจำหน่าย เกรงว่า วิทยากรชาวเหนือสองสายพันธุ์ จะตามมารังควาญว่า ซื้อมาอ่านแล้ว“วาง + จำ + หน่าย คือ อ่านได้ไม่กี่หน้า ก็ วาง และ จำ ขึ้นใจว่า หน่าย ที่จะอ่าน” (ฮา)
ผมขอโปรโมทป้องกันไม่ให้เข้าใจคลาดเคลื่อน จึงยืนยันว่า “ภูมิศาสตร์แห่งความสุข” น่าอ่านฝุดๆ! ผมลองคัดมาหนึ่งย่อหน้าเล็กๆ แต่ได้คติทรงคุณค่าเกินราคา เชื่อผมเถอะว่า…ใช่ไม่ใช่ก็ต้องใช่
คนที่กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมมักจะมีความสุขกว่าคนที่เก็บตัว!
คนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมักจะมีความสุขกว่าคนที่ไม่มีปริญญา
คนที่เรียนสูงระดับดอกเตอร์มักจะมีความสุขน้อยกว่าคนที่จบแค่ปริญญาตรี!
คนที่มีงานทำมักจะมีความสุขมากกว่าคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ค่อยได้ทำอะไร
คนทำงานมักจะมีความสุขน้อยลงถ้าต้องเดินทางไกลไปสำนักงาน
คนที่แต่งงานมักจะมีความสุขมากกว่าคนโสด
ครอบครัวที่ไม่มีลูกมักจะมีความสุขมากกว่าครอบครัวพ่อแม่ลูก!
คนที่เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนามักจะมีความสุขกว่าคนที่ห่างเหิน (สาธุ)
คนที่มีชู้มักจะมีความสุขกว่าคนรักเดียวใจเดียว แต่ก็ไม่พอที่จะชดเชยความทุกข์หลังถูกจับได้!
สิงคโปร์ก็เหมือนสวิสเซอร์แลนด์ของเอเชีย คอสตาริกาก็เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ของแดนอเมริกากลาง คนที่นี่ไม่โอ้อวดความร่ำรวย ไม่พูดถึงเรื่องเงินทอง คนที่นี่มองว่า มีเงินต้องเก็บซ่อนไว้ การพูดถึงเรื่องเงินเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ความอิจฉาเป็นศัตรูของความสุข คนที่นี่เห็นว่า การทำตัวเด่นเกินไปจะทำให้ไม่มีความสุข จึงใช้ชีวิตแบบกลางๆ ไม่เด่น ไม่ดัง ไม่ตกต่ำ จนเกินไป! (ปรบมือกันไป…กดไลค์กันเลย)
คติพจน์ประมาณนี้ กว่าเราจะคิดเองได้คงต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษ เขาถึงบอกว่า “อ่านหนังสือหนึ่งเล่มเหมือนได้คุยกับ Guru หนึ่งคน” ผมว่า “คุยกับ Guru หนึ่งคน เหมือนได้อ่านหนังสือทั้งร้าน!”