โดยปัจจุบันแบ่งการอัปเกรดเป็นสามเฟส ได้แก่การเปลี่ยนกลไกการเห็นพ้องเป็น Proof of Stake (ซึ่งจะจบด้วยกระบวนการที่เรียกว่า The Merge), การแตกบล็อกเชนย่อยเพื่อรองรับธุรกรรมเพิ่มมหาศาล (Sharding) และสุดท้ายคือการเปลี่ยนวิธีการรันสมาร์ทคอนแทร็กจาก EVM มาใช้ eWASM ซึ่งสองเรื่องหลังเราจะมาพูดคุยกันในอนาคต ส่วนในตอนนี้เราจะมาดูเรื่อง The Merge และผลกระทบโดยรวมกันครับ เพราะใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว
การเปลี่ยนกลไกการเห็นพ้อง (Consensus Algorithm) จากแบบ Proof of Work ซึ่งเป็นการที่ให้เครื่องสมาชิกในเครือข่ายมาประมวลผลแข่งกัน คนที่คำนวณได้เสร็จตามกฎก่อนจะได้เป็นผู้สร้างบล็อกใหม่และรับรางวัลในการสร้างบล็อกไป มาเป็นแบบ Proof of Stake ที่จะให้นำเหรียญ ETH มาวาง (stake) เพื่อรับสิทธิ์ในการสุ่มเลือกเป็นเครื่องที่จะสร้างบล็อกใหม่ โดยหนึ่งสิทธิ์ถูกกำหนดไว้ที่ 32 ETH ซึ่งแปลว่าเครื่องที่วางเหรียญไว้เยอะเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสสูงขึ้นที่จะได้รับการสุ่มมา เช่น ถ้าเราวางไว้ 128 ETH ก็เหมือนมีสลากสี่ใบในโหลนั่นเองครับ
การกลไกการเห็นพ้องมาเป็น Proof of Stake จะลดการใช้พลังงานของเครือข่ายได้มหาศาล ซึ่งทีมผู้พัฒนาเคลมไว้ว่าจะลดได้กว่า 99.95% เพราะไม่จำเป็นต้องมีการใช้พลังประมวลผลแข่งกัน แต่จะแข่งกันที่ว่าใครจะมี stake เยอะกว่านั่นเอง และเครื่องขุดในปัจจุบันที่ใช้การ์ด ประมวลผลกราฟิกของเครื่องคอมพิวเตอร์ (การ์ดจอ) ก็จะต้องไปขุดเหรียญอื่น หรือนำการ์ดจอกลับไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์กันครับ
การอัปเกรดนี้ได้มีการพัฒนาและทดสอบมาหลายปี ซึ่งตอนนี้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่เรียกว่าการ Merge ซึ่งเป็นการนำ Beacon Chain ซึ่งเป็น Proof of Stake มารวมกับเครือข่ายปัจจุบันที่ยังเป็น Proof of Work และเปลี่ยนตัวกลไกการเห็นพ้องของเครือข่ายนั่นเองครับ และในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางทีมผู้พัฒนา Ethereum ก็ได้ทำการทดสอบ Merge ในเครือข่ายทดสอบ (testnet) สุดท้ายที่ชื่อว่า Goerli เป็นที่เรียบร้อยดี จากนั้นทีมงานอีเธอเรียมก็ได้ปักวันที่จะ Merge เครือข่ายหลัก (mainnet) ไว้วันที่ 15 กันยายนนี้ หรือในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านั่นเอง ซึ่งเราก็ต้องติดตามดูผลกันครับ