WHA อัด 7 หมื่นล้าน เดินแผน 5 ปี รับโอกาสทองประเทศไทย

09 พ.ย. 2566 | 02:10 น.
อัปเดตล่าสุด :09 พ.ย. 2566 | 02:26 น.

กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ WHA ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าจับตามอง เพราะเติบโตอย่างก้าวกระโดดใน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก

ปัจจุบันทางกลุ่มยังมีเคลื่อนไหวต่อเนื่องในการพัฒนาและยกระดับ ไล่ตั้งแต่ 1.ธุรกิจโลจิสติกส์ 2.ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม 3.ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และ 4.ธุรกิจดิจิทัล ที่ล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากนักลงทุนต่างชาติที่ย้าย / ขยายฐานการผลิตเข้ามา

สำหรับทิศทางและเป้าหมายทางธุรกิจ รวมถึงแผนการลงทุนในปี 2567 ของ WHA จะขับเคลื่อนไปอย่างไรนั้น นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WHA ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ฐานเศรษฐกิจ” พร้อมสะท้อนมุมมองโอกาสของประเทศไทยนับจากนี้

  • สร้างความพร้อมรับทุน FDI

นางสาวจรีพร กล่าวว่า ที่ผ่านมา WHA จะให้ความสำคัญด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจ จะเห็นว่าธุรกิจโลจิสติกส์ได้มีการพัฒนา นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงมาใช้ในการบริหารจัดการ ช่วยให้การทำงานเป็นระบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น เน้นการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนำเทคโนโลยีสีเขียวมาปรับใช้กับกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ (กรีน โลจิสจิกส์) เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เน้นเรื่องพลังงานสะอาด ทำเรื่อง EV Fleet

จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WHA

ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมได้พัฒนาเรื่องฮาร์ดอินฟรา ไฟเบอร์ออฟติก ทำเรื่องสมาร์ท อีโค่ เน้นเรื่องกรีน สร้างความพร้อมรองรับนักลงทุนที่มีแผนย้ายมาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าเป็นโอกาสของไทยนับจากนี้ไป โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีนยักษ์ใหญ่ด้านอีวี ที่เข้ามาแล้วหลายราย ก่อนหน้านี้ได้ดึงกลุ่มทุนจีนเข้ามาโดยเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำอย่าง บีวายดี (BYD) เข้ามาลงทุนในนิคม WHA ระยองได้สำเร็จ และในปี 2567 มีเป้าหมายจะดึงทุนด้านรถอีวีสัญชาติอื่นเข้ามาอีก

“เราประสานกับภาครัฐจะดึงทุน 3 กลุ่มเข้ามาอีกคือ อีวี นอกจากนั้นจากจีนจะมีทุนจากสัญชาติอื่นตามเข้ามาอีก รวมถึงบริษัทด้านอิเล็กทรอนิกส์ จะย้ายจากไต้หวันและจีนมาไทยและกลุ่มคอนซูมเมอร์เหล่านี้ เป็นบริษัทใหญ่ที่เราจะดึงเข้ามา”

WHA อัด 7 หมื่นล้าน เดินแผน 5 ปี รับโอกาสทองประเทศไทย

สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ๆ ช่วยเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง พัฒนาโซลูชั่นพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับพลังงานเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะการขยายตัวในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา สามารถติดโซลาร์เซลล์ที่ชาร์จรถอีวีได้

ส่วนธุรกิจดิจิทัล ได้มีการติดตั้งไฟเบอร์ออฟติกให้ครอบคลุมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม มีการพัฒนาโซลูชั่นเทคโนโลยี 5Gให้สอดรับกับการใช้งานของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมได้ เป็นต้น

  • อัดงบก้อนใหญ่เดินแผน 5 ปี

นางสาวจรีพร กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในปี 2567 ว่า เบื้องต้นคาดการณ์ว่า WHA จะประกาศแผนลงทุน 5 ปี คือปี 2567-2571 ใช้งบลงทุนกว่า 70,000 ล้านบาท ที่ลงทุนขนาดนี้เพราะมั่นใจว่าพบสัญญาณบวกและประเทศไทยมีโอกาสเติบโต มองวิกฤตสงครามการค้าเป็นโอกาส ส่วนสงครามอิสราเอลถ้าไม่ลามใหญ่โตก็ไม่กังวล

ดังนั้นในปี 2567 มองว่าอย่างน้อยจะมี 4 ด้านที่เดินไปในทิศทางบวกคือ 1.รัฐบาลจะอัดงบลงระบบได้มากขึ้น 2.ด้านส่งออกก็น่าจะดีขึ้นหลังจากที่ข้ามผ่านวิกฤตโควิดแล้ว 3.ทุนทางตรงจากต่างประเทศหรือทุน FDI จะเดินสายเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นชัดเจน 4.ภาคท่องเที่ยวก็จะดีขึ้นหลังจากที่มีนโยบายวีซ่าฟรี กับบางประเทศ ซึ่งปีนี้ท่องเที่ยวมีสัญญาณบวกชัดเจนขึ้น

  • ตั้งเป้าเติบโต 2 หลัก

สำหรับรายได้รวมปี 2567 กลุ่ม WHA ตั้งเป้าว่าจะเติบโตตัวเลขสองหลัก นอกจากปัจจัยบวก 4 ด้านข้างต้นแล้ว ยังสังเกตได้จากธุรกิจของทางกลุ่มเอง ยกตัวอย่าง จากเดิมตั้งเป้าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมปี 2566 จะขายที่ได้จำนวน 1,750 ไร่ พอมาถึงโค้งสุดท้ายปีนี้ต้องมาปรับเป้าขายใหม่เป็น 2,750 ไร่ จากที่ก่อนวิกฤตโควิดขายที่ได้ปีละ 800-1,200 ไร่เท่านั้น ซึ่งมองเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน

ล่าสุด ในเดือนตุลาคที่ผ่านมา WHAได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด จำนวน 250 ไร่เพื่อตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) มีมูลค่าการลงทุนเฟสแรก 8,862 ล้านบาท กำลังผลิต 100,000 คันต่อปี คาดเริ่มผลิตปี 2568 ถือเป็น 1 ใน 4 บริษัทยานยนต์ชั้นนำจากจีน ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 ระยอง ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC) นับเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ครั้งสำคัญในปี 2566

ส่วนเฟสที่ 2 คาดการณ์ว่า 200,000 คันต่อปี และขยายพื้นที่อีก 300 ไร่ เพื่อตั้งฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา ทั้งประเภท BEV, PHEV, REEV (Range Extended EV) สำหรับจำหน่ายในไทยและส่งออกสู่ภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ และแอฟริกาใต้

ปัจจุบันกลุ่ม WHA มีที่ดินที่พัฒนาตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทั้งสิ้น ราว 70,000 ไร่ แบ่งเป็นการลงทุนในไทยราว 50,000 ไร่ครอบคลุมพื้นที่ใน 3 จังหวัดคือ นิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยองรวม 11 แห่ง และที่จังหวัดสระบุรีอีก 1 แห่ง  ส่วนอีกราว 20,000 ไร่เป็นการลงทุนที่ประเทศเวียดนามใน 3 เมือง

“30 ปี ที่ทำธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมขายที่ดินให้กับลูกค้าจำนวนมาก สามารถดึงทุน FDI เข้ามาประเทศไทยได้มากกว่า1.4 ล้านล้านบาท  สร้างแรงงานให้มีงานทำในนิคมฯได้กว่า 200,000 คน เป็นคนทั้งที่ออยู่ในพื้นที่และมาจากนอกพื้นที่ทั่วประเทศจำนวนมาก และเข้ามาช่วยพัฒนารอบๆนิคมอุตสาหกรรมให้เจริญ 

ถึงวันนี้ก็ยังมองว่าเมืองไทยมีอนาคต ในแง่ที่เป็นนักธุรกิจก็มองว่าสิ่งที่ทำก็ทำเพื่อประเทศชาติด้วย คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะดึงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้ได้มากที่สุดเพราะโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็น่าจะเป็นโอกาสของประเทศไทยที่ต้องรีบคว้าไว้”