วันที่ 4 พฤศจิกายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE2) อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
นายกรัฐมนตรีและคณะรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับนิคมอุตสาหกรรม WHA ESIES2 ซึ่งเป็นพื้นที่รองรับการลงทุนอุตสาหกรรม มีที่ตั้งห่างจากท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังและศรีราชา 25 กิโลเมตร อุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษในพื้นที่เหมาะกับโรงงานอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มยานยนต์ โลหะภัณฑ์ พลาสติกและโพลิเมอร์ เป็นต้น
อีกทั้งยังมีโรงงานสำเร็จรูปให้เช่า รวมทั้งบริการออกแบบและพัฒนาโรงงานสำเร็จรูปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นับได้ว่าปัจจุบันมียอดจำหน่ายอย่างก้าวกระโดด โดยมีปัจจัยสำคัญจากรถยนต์มีคุณสมบัติที่สูงขึ้น วิ่งได้ระยะทางไกลมากขึ้น และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ
โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นับเป็นพื้นที่สำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีความพร้อมที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันในอาเซียน ทั้งในด้านคมนาคม แรงงาน และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของนักลงทุน
พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรียังได้รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2557 และมีการขยายการลงทุนมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทั้งการผลิตรถยนต์สันดาปภายในและเครื่องยนต์ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบ Hybrid EV, Plug-in Hybrid EV และ Battery EV และแบตเตอรี่ และการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า โดยการลงทุนทั้งในส่วนการผลิตรถยนต์และแบตเตอรี่และการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI รวมทั้งสิ้น 6 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 14,760 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 66 ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดโรงงานแบตเตอรี่แห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ HASCO-CP BATTERY SHOP
นอกจากนั้นแล้ว นายกรัฐมนตรีได้รับฟัง 6 ข้อเสนอ เพื่อพิจารณาเพื่อช่วยสนับสนุน การประกอบธุรกิจ และพัฒนานิคมอุตสาหกรรมใน EEC จาก WHA ได้แก่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ข้อเสนอทั้ง 6 ข้อที่ WHA เสนอมานั้นสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่ดำเนินการอยู่ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสนับสนุนรถยนต์ EV เพราะสอดคล้องกับทิศทางโลกที่มุ่งให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว การใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน พร้อมทั้งเป็นการสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ
โดยเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2566 ได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 (EV3.5) โดยจะให้เงินอุดหนุนแก่รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นที่น่าพอใจของนักลงทุนต่างประเทศทุกคน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีข้อเสนอดังนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศได้ต่อยอดรัฐบาลที่แล้ว ในเรื่องของการที่ผลักดันให้รถ EV เข้ามาเปิดในประเทศไทย โดยรัฐบาลนี้ก็จะทำต่อและขยายผลต่อไป และจากการที่ได้เดินทางไปต่างประเทศก็ได้มีการพูดคุยกับทางภาคเอกชนและรัฐบาล เพื่อให้ต่างประเทศมีความเข้าใจว่าประเทศไทยเปิดแล้ว ประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะต้อนรับนักลงทุนจากต่างประเทศ ไม่มีเวลาไหนที่ดีเท่าเวลานี้อีกแล้ว ที่จะให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในที่นี่
สำหรับข้อเสนอในข้อที่ 6 เรื่องการตั้งคณะอนุกรรมการนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงที่เดินทางโดยรถไฟมาถึงท่าเรือแหลมฉบัง ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรับฟังปัญหาต่าง ๆ ทำให้พบค้นพบปัญหาที่เกิดขึ้นหลายประเด็น แต่ปัญหาก็แฝงด้วยศักยภาพหากสามารถแก้ไขปัญหาได้ จะเป็นการ Unlock ทรัพย์สินของประเทศชาติ ให้เพิ่มมูลค่าสูงขึ้นอย่างมโหฬาร
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า EEC เป็น Concept และเศรษฐกิจที่ดี และมีองค์กรที่แข็งแกร่ง ทั้งบีโอไอ และ EEC โดยเลขาบีโอไอและเลขา EEC ก็เป็นคนที่มีความสามารถ และตั้งใจจริงในการที่จะพัฒนาประเทศให้สูงไปสู่อีกระดับหนึ่งได้
อย่างไรก็ตาม การตั้งคณะกรรมการดังกล่าวตามที่ WHA เสนอนั้น ไม่ต้องการให้เป็นคณะกรรมการคณะใหญ่ เพราะเวลาเชิญประชุมก็จะเสียเวลาเป็นเดือน วันนี้นายกรัฐมนตรีจึงได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้น คือ East look of doing Business in EEC ซึ่งฝ่ายสื่อสารจะไปพิจารณาชื่อที่เหมาะสมอีกครั้ง
โดยคณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน รวมทั้งมีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม มี 2 เลขา และอธิบดีกรมการขนส่งทางราง
ส่วนข้อเสนอในข้ออื่น ๆ ของ WHA ทั้งปัญหาเรื่อง EIA ผังเมือง ตลอดจนเรื่องของรางน้ำและท่อน้ำต่าง ๆ นั้น รัฐบาลตระหนักดีและจะพยายามช่วยเหลือให้เร็วกว่า 5 ปี รวมไปถึงเรื่องของน้ำ รัฐบาลนี้ก็ให้ความสำคัญอย่างมาก ซึ่งภาคเกษตรกรรมถือเป็นภาคใหญ่ของประเทศไทย จึงไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องน้ำระหว่างภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ การบริหารจัดการน้ำและการเตรียมแหล่งน้ำนั้นยืนยันว่ามีน้ำเพียงพอในการพัฒนาแหล่งอุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชน นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่าอีก 2 เดือนจะมาติดตามความก้าวหน้าของ EEC อีกครั้ง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชมรถยนต์ต้นแบบไฟฟ้าพร้อมเซ็นชื่อบนรถยนต์ต้นแบบดังกล่าวและ แบตเตอรี่ ด้วย