*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,911 ระหว่างวันที่ 6-9 ส.ค. 2566 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** การเมืองเริ่มเข้ารูปเข้ารอย เพราะเป็นที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ประเทศไทยจะมีรัฐบาลใหม่ เป็น “รัฐบาลเพื่อไทย” โดย พรรคก้าวไกล จากเดิมที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต้องพลิกขั้วไปเป็น “ฝ่ายค้าน” ความชัดเจนดังกล่าวปรากฏขึ้นเมื่อบ่ายวันที่ 2 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา หลังการประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค ได้ออกมาแถลงว่า พรรคก้าวไกลจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน และยืนยันจะทำงานการเมืองในมิติใหม่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
*** สำหรับภารกิจที่สำคัญของพรรคเพื่อไทย คือ 1.ผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่เป็นต้นเหตุของความยากลำบากในการตั้งรัฐบาล และก่อให้เกิดวิกฤติต่างๆ ขณะนี้ โดยกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งการประชุม ครม.ในครั้งแรก จะมีการให้ทำประชามติ และจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) ให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อแล้วเสร็จรัฐบาลจะ “คืนอำนาจให้ประชาชน” เลือกตั้งใหม่ในกติการัฐธรรมนูญใหม่
2.นโยบายที่พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลที่นำเสนอต่อประชาชน มีความเห็นตรงกัน เช่น สมรสเท่าเทียม สุราก้าวหน้า ปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระกระบวนการยุติธรรม เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารเป็นระบบสมัครใจ ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งภารกิจ และงบประมาณ ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เป็นต้น พรรคเพื่อไทยจะใช้ประสบการณ์และความสามารถของบุคลากรของพรรคเพื่อไทย เร่งแก้วิกฤติทางเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนโดยเร็ว
*** ขณะที่ พรรคก้าวไกล หลังต้องตกไปเป็น “ฝ่ายค้าน” ทาง ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค ได้ออกมาแถลงว่า “ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน หลังจากนี้ พรรคก้าวไกล จะทำงานในฐานะผู้แทนราษฎรอย่างเต็มที่ อย่างดีที่สุด ตามที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมาจากการเลือกตั้ง ...และจะทำงานอย่างเต็มที่ไม่ว่าอยู่ในสถานะไหน เพื่อที่จะสร้างระบบการเมืองของบ้านเราให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นระบบการเมืองที่เสียง และอำนาจของประชาชน มีความหมายจริง ๆ ให้ได้สักวันหนึ่ง”
*** เมื่อเรามี “รัฐบาลเพื่อไทย” เข้ามาบริหารประเทศ ต่อไปนี้ก็มารอดูกันว่าจะทำตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้หรือไม่ ซึ่งนโยบายที่สำคัญก็ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้ทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ให้ใช้จ่ายใกล้บ้านในรัศมี 4 กิโลเมตร, การเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) เติบโตเฉลี่ยอย่างต่ำปีละ 5%, เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน ภายในปี 2570, ทุกครอบครัวต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อเดือน, คนจบปริญญาตรี ข้าราชการ มีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 25,000 บาท รวมถึงการสร้างเขตธุรกิจใหม่ (New Business Zone) นำร่อง 4 พื้นที่ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และ หาดใหญ่
***นโยบายด้านพลังงาน ลดราคา น้ำมัน ไฟฟ้า แก๊ส ทันที สนับสนุนพลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก เพื่อลดการพึ่งพิงพลังงานแบบดั้งเดิม เพิ่มความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, นโยบายด้านเกษตรและประมง เพิ่มรายได้ขึ้นเป็น 3 เท่า ภายในปี 2570 จากรายได้เฉลี่ย 10,000 บาทต่อไร่ต่อปี ให้มีรายได้ 30,000 บาท ต่อไร่ต่อปี และให้มีการพักหนี้เกษตรกรทั้งต้นและดอกทันที 3 ปี, นโยบายด้านคมนาคม รถไฟฟ้า กทม. 20 บาท ตลอดสาย ติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้รถไฟชั้นสามทุกขบวน, ยกระดับรถไฟโดยสารทั่วประเทศ, เร่งเชื่อมโยงรถไฟขนส่งสินค้า เช่น จากลาวเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบัง และสนามบินสุวรรณภูมิ, เชื่อมโยงโครงข่ายรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ
*** นโยบายการท่องเที่ยว ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านการแพทย์ และสุขภาพ มุ่งทำให้ประเทศไทยเป็น “Wellness Destination” ของเอเชีย และวางจุดยืนให้ไทยเป็น “Festival Hub of Asia” พร้อมมุ่งให้ไทยเป็น Regional transport hub เชื่อมต่อสายการบินให้สายการบินจากทั่วโลกมาต่อเครื่องที่ไทย , รองรับนักท่องเที่ยว120 ล้านคน และปริมาณการขนส่งสินค้า cargo จำนวน 3 ล้านตันภายในปี 2570
*** ส่วนนโยบายสาธารณสุข ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทั่วไทย ระดมฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรีให้เด็กหญิงอายุตั้งแต่ 9-11 ปีทุกคน และผู้หญิงที่ยังไม่เคยรับเชื้อ HPV ลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูก ดูแลผู้ป่วยติดเตียง ใช้งบประมาณ สปสช., 1 ครอบครัว 1 ซอฟท์พาวเวอร์ จะยกระดับทักษะคนไทยให้เป็นแรงงานทักษะสูง 20 ล้านคน สร้างรายได้อย่างน้อย 200,000 บาทต่อปี สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง
*** ด้านนโยบายการศึกษา ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านขั้นตอน Learn to Earn ,โครงการ" Free tablet for all” 1 นักเรียน 1 แท็บเล็ต และ โครงการ 1 ครู 1 แท็บเล็ต โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน (ODOS) มีศูนย์การเรียนรู้แบบ TCDC และ TK Park ให้ครบทุกจังหวัด, สร้างความโปร่งใสและเพิ่มประสิทธิภาพให้ภาครัฐ มุ่ง Digital Government พลิกเปลี่ยนจาก “รัฐอุปสรรค” เป็น “รัฐสนับสนุน” เพื่อปลดล็อคศักยภาพของประชาชนและผู้ประกอบการขณะเดียวกันยังเป็นการลดช่องทางการคอร์รัปชัน สร้าง One Stop Service สำหรับการให้บริการภาครัฐ, ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะการหลอกลวง ขโมยเงินจากบัญชีธนาคาร โดยจะวางระบบป้องกันภัยไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ธนาคารส่งข้อมูลกรณีกลโกงอาชญากรไซเบอร์ให้ทันการณ์
*** นโยบายบริหารจัดการน้ำ น้ำต้อง ไม่ท่วม ไม่แล้ง และ ประชาชนต้องมีน้ำดื่ม น้ำใช้ตลอดปี, นโยบายจัดทำกรรมสิทธิ์ที่ดิน เร่งรัดการพิสูจน์สิทธิ์ เพื่อให้ได้มาซึ่งโฉนด อย่างถูกต้องและเป็นธรรม ด้วยการใช้หลักฐานภาพถ่ายจากดาวเทียม และ/หรือหลักฐานอื่นซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้อง และจะนำที่ดินของรัฐจำนวนมาก ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ มาจัดให้เป็นที่ดินทำกินของราษฏร …เมื่อได้นายกฯ คนที่ 30 โดยมี “รัฐบาลเพื่อไทย” เข้ามาบริหารประเทศแล้ว “กลิ่นความเจริญ” จากนโยบายต่าง ๆ ของพรรคเพื่อไทย ก็คงจะลอยมาเข้าจมูกคนไทย ที่ตั้งความหวังไว้สูง แต่อย่าทำให้ผิดหวังก็แล้วกัน...