นายยาซุชิ โมริยามะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด เปิดเผยว่า แม้ในปีนี้จะมีปัจจัยลบจากการถดถอยของเศรษฐกิจ ทั้งในภาคส่งออก การบริโภคที่ลดลง และเกิดไวรัสโคโรนาหรือ โควิด-19 แต่ก็มีปัจจัยบวกจากสภาพอากาศที่ร้อน ความพร้อมของบริษัทในการพัฒนาสินค้า การขนส่ง และบริการหลังการขายที่มีอยู่จะทำให้สามารถรับมือและปรับตัวให้สามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพ รวมถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ควบคู่กับความปลอดภัย ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถเข้าถึงและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้บริษัทแม่ให้ความสำคัญกับประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชีย เป็นตลาดที่สำคัญและมีการเติบโตต่อเนื่อง ดังนั้นบริษัทจึงเดินหน้าธุรกิจภายใต้วิชัน “การเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า” (Changes for the Better) โดยมุ่งเน้นการทำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความเย็น ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น และพัดลม เป็นหลัก จากข้อมูลสำรวจแนวโน้มการซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่พบว่า ผู้บริโภคกว่า 50% ยังคงเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศของมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี
โดยในช่วงซัมเมอร์ปีนี้บริษัทเปิดตัวเครื่องปรับอากาศใหม่ อินเวอร์เตอร์ รุ่น JS Series และ รุ่น KS Series (Happy Inverter) เพิ่มความเย็นเร็วทันใจกับระบบ Fast Cooling และ Error Code เพื่อช่วยในการตรวจสอบอาการผิดปกติเบื้องต้นของเครื่องปรับอากาศได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น, เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนขนาดใหญ่ มิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม รุ่นใหม่ ใช้สารทำความเย็น R32 พร้อมเพิ่มขนาดใหม่ 13,000 BTU ในรุ่น PLY, PCY และ PEY Series พร้อมเทคโนโลยีประหยัดพลังงานระดับสูง, ตู้เย็น 3 ประตู รุ่น Smart Freeze Glass Edition ระบบ Neuro Inverter , พัดลม ที่มาพร้อมปลั๊ก 3 ขาใหม่ที่มีสายดินป้องกันไฟดูดหากเกิดไฟรั่ว พร้อมกล่องเหล็กครอบสวิตช์ ป้องกันการลุกลามไฟ เป็นต้น
ยาซุชิ โมริยามะ
ด้านนายประพนธ์ โพธิวรคุณ กรรมการรองผู้จัดการ กล่าวว่า บริษัทเตรียมใช้งบราว 1,050 ล้านบาทสำหรับทำกิจกรรมการตลาดครบวงจร ผ่านกลยุทธ์ออนไลน์ มาร์เก็ตติ้ง รวมทั้งการใช้สื่อต่างๆ ทั้งภาพยนตร์โฆษณา ซึ่งมี “โป๊ป - ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” เป็นพาร์ตเนอร์พรีเซนเตอร์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6, การโฆษณาบนรถยนต์, สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง การสนับสนุนสโมสรฟุตบอลบีจี ปทุม ยูไนเต็ด เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อมุ่งเน้นการทำตลาดแบบ Business-to-Consumer (B2C) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และพัดลมระบายอากาศ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง พร้อมทั้งขยายธุรกิจในแบบ Business-to-Business (B2B) ไปยังหัวเมืองใหญ่ ทั้งร้านค้า โรงแรม ฯลฯ
นอกจากนี้บริษัทยังทุ่มงบประมาณกว่า 30 ล้านบาท พัฒนาศักยภาพศูนย์บริการมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ด้วยการขยายสาขาศูนย์บริการแต่งตั้งมิตซูบิชิ อีเล็คทริค ให้ครอบคลุมพื้นที่ใหม่ๆ ทั่วประเทศ รวมไปถึงศูนย์บริการสำหรับกลุ่มลูกค้าเชิงพาณิชย์ “สำนักงานสนับสนุนลูกค้าโครงการระบบปรับอากาศซิตี้มัลติ” ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการในหัวเมืองใหญ่ๆ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี ชลบุรี และนครศรีธรรมราช และมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ ล่าสุดบริษัทเปิดศูนย์กระจายสินค้า “Mitsubishi Electric Smart Hub” จังหวัดลำปาง บนพื้นที่กว่า 5,000 ตร.ม. เพื่อพัฒนาระบบขนส่งโลจิสติกส์ ครอบคลุมการให้บริการ 12 จังหวัด ในเขตภาคเหนือ เพื่อให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 2563 (เม.ย. 63-มี.ค. 64) บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายรวมกว่า 1.67 หมื่นล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 8% มาจากกลุ่มแอร์ 60% เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น 30% และอื่นๆ 10% ขณะที่ในปี 2562 (เม.ย. 62-มี.ค. 63) คาดว่าจะมียอดขาย 1.55 หมื่นล้านบาท เติบโต 7% ส่วนภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่า 3.1-3.2 หมื่นล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6% โดยมิตซูบิชิ เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาด 33-35%
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,551 วันที่ 23-26 กุมภาพันธ์ 2563