เดินทางมาจนถึงไฮซีซันแล้วสำหรับตลาดเครื่องปรับอากาศมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาทของไทย ที่ต้องเผชิญกับปัจจัยลบต่างๆ มาตั้งแต่ต้นปี ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ สงครามการค้า มาจนถึงไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 ที่กำลังส่งผลกระทบกับหลายอุตสาหกรรมในประเทศอย่างหนักอยู่ขณะนี้ ทำให้ค่ายยักษ์ใหญ่ทั้งไทย-เทศ ต่างต้องปรับแผนรับมือตั้งแต่ระบบการขายไปจนถึงการจัดส่ง เพื่อรับมือกับวิกฤติดังกล่าว
นายอำนาจ สิงหจันทร์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์(ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า “แอลจี” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมและมียอดขายสูงสุดในช่วงที่เกิดปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็คือตู้เย็น จากการที่ประชาชนต้องการซื้อไปกักตุนสินค้าหรือเพื่อให้สามารถบรรจุอาหารให้มากขึ้นเพียงพอต่อความต้องการ โดยช่วงที่ผ่านมาสินค้าในกลุ่มตู้เย็นของแอลจีมีการเติบโต 30% และรองลงมาได้แก่ กลุ่มเครื่องปรับอากาศ 20% (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) ที่แม้ช่วงแรกจะได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย เนื่อง จากการซื้อเครื่องปรับอากาศจำเป็นต้องมีการติดตั้งและจัดส่งทำให้ประชาชนมีความวิตกกังวลในการจัดส่ง แต่หลังจากที่ประชาชนหันมากักตัวอยู่บ้าน พร้อมทั้งทำงานจากบ้าน (Work From Home) มากขึ้น จึงหันมาเปลี่ยนหรือซื้อเครื่องปรับอากาศใหม่เพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกในบ้านเรือน
“ตลาดแอร์โชคร้ายนิดหน่อยที่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นในช่วงหน้าขายหรือไฮซีซันพอดี ทำให้ต้องปรับแผนงานบางส่วนเพื่อรักษายอดขาย แต่ก็ยังเป็นโอกาสของการขายเนื่องจากประชาชนอยู่บ้านมากขึ้น ขณะที่กว่า 90% ของตลาดแอร์จะขายผ่านช่องทางรีเทล เมื่อห้างถูกปิดหมด ทำให้แต่ละแบรนด์ได้รับผลกระทบด้านการขายและต้องมีการปรับแผนธุรกิจพอสมควร”
สำหรับแอลจีเอง หันไปโฟกัสกลุ่มดีลเลอร์หรือ ตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่ราว 350 รายแทน พร้อมทั้งปรับโมเดลการจำหน่ายในกลุ่มระดับกลาง-บน ที่เคยจำหน่ายในช่องทางรีเทลมาจำหน่ายในช่องทางดีลเลอร์แทน เพื่อลดโอกาสทางการขายที่สูญเสียไป จากเดิมที่ช่องทางดีลเลอร์มีการจำหน่ายโมเดลในกลุ่มระดับกลาง-ล่าง เพื่อเป็นการสร้างยอดขายจากช่องทางที่ได้รับผลกระทบ พร้อมกันนี้ยังมีการจับมือกับธนาคารต่างผ่อน 0% นาน 10 เดือน และกลุ่ม None Bank (สำหรับดีลเลอร์ต่างจังหวัด) ในการจัดโปรโมชันผ่อนชำระ 0% นาน 18 เดือน เบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ตเนอร์เพื่อจัดแคมเปญให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการสต๊อกสินค้าที่ต้องมอนิเตอร์ตลอดเวลาว่าเพียงพอหรือไม่ ขณะที่ในกระบวนการผลิตว่าวัตถุดิบเพียงพอหรือไม่เพื่อที่จะแก้ปัญหาให้ทันท่วงที
อย่างไรก็ตามในส่วนของบริษัทเองเดิมวางเป้าหมายยอดขายตลอดทั้งปีไว้ที่ 30% ซึ่งหลังจากการปรับแผนงานเพื่อรับมือกับโควิด-19 ในครั้งนี้แล้วมั่นใจว่าจะสามารถรักษาการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ หรือหากผลกระทบเกิดขึ้นในระยะยาวมากกว่าที่มีการประเมินไว้ก็คาดว่าจะยังคงสามารถรักษาการเติบโตได้ที่ 20% เนื่องจากมองว่าแม้ตลาดต่างจังหวัดในบางส่วนจะมีตัวแทนจำหน่ายที่ต้องปิดให้บริการชั่วคราวแต่ก็มีจำนวนเพียง 50-60 ร้านค้าเท่านั้น ดังนั้นบริษัทยังเหลือร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ยังสามารถทำตลาดได้อีกมาก
ด้านนายสมศักดิ์ จิตติพลังศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัยโจ เดนกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ “ซัยโจ เดนกิ” กล่าวว่า
ในวิกฤติแบบนี้เราไม่ได้โฟกัสเรื่องการทำตลาดและยอดขาย แต่จะหันมามองการที่จะปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ ซึ่งแน่นอนว่าจากนโยบายการทำงานอยู่บ้าน หรือการที่ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน การจับจ่ายก็จะลดลง กำลังซื้อก็จะน้อยลงเนื่องจากไม่มีรายได้ ซึ่งบริษัทก็ยังมีการผลิตสินค้าออกมาเพื่อรองรับโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งบริษัทมองว่าภาวะนี้คือช่วงของการรักษาสัดส่วนยอดขายไว้ไม่ใช่ภาวะการทำกำไรแต่อย่างใด แต่จะให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน การทำโครงการช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ตามสถานที่ต่างๆ แทนการทำตลาดเพื่อสร้างยอดขาย
ขณะที่นายธเนศร์ บินอาซัน รองประธานอาวุโส บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวแต่ด้านผลิตภัณฑ์แอร์ไฮเออร์ กลับเติบโตสวนกระแสในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่ความตื่นตัวในวงกว้างของคนไทยในการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ความต้องการของการเลือกเครื่องปรับอากาศของคนไทยเปลี่ยนไป นอกเหนือจากการเลือกแอร์อินเวอร์เตอร์เพื่อประหยัดไฟ แต่ยังต้องมีนวัตกรรมที่สามารถกรองฝุ่นและเชื้อโรคได้ด้วย
ล่าสุดเพื่อเป็นการตอกยํ้า การเข้าถึงของลูกค้าบริษัทจึงได้ส่งภาพยนตร์โฆษณาเรื่องใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ถูกแล้ว ที่เลือกไฮเออร์” และวิดีโอออนไลน์อีก 5 เรื่องสั้น เพื่อตอกยํ้าความเชื่อมั่นในแบรนด์และสรุปความเก่งในทุกจุดของนวัตกรรมแอร์ไฮเออร์ เพื่อให้โดนใจผู้บริโภค โดยมี บอย-ปกรณ์ เป็นพรีเซนเตอร์ของไฮเออร์ประเทศไทย พร้อมด้วยน้องหมาไจโกะ ควบคู่กับการขยายช่องทาง e -Commerce ทั้ง Lazada, Shoppe และล่าสุด JD Central และการพัฒนา Application เข้ามาช่วยในเรื่องบริการหลังการขายเพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้ติดต่อกับบริษัท เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการรับประกันคุณภาพ
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 30% ในกทม.และปริมณฑล และสูงถึง 70% ในหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งแนวทางการทำตลาดนับจากนี้จะให้ความสำคัญของการดำเนินธุรกิจบนตะหนักถึงสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 และเรื่องฝุ่น PM2.5 เพราะคนไทยกลัวทั้งฝุ่นและเชื้อโรค มีไลฟ์สไตล์ที่อยู่ติดบ้านมากขึ้นในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมีนาคม-เมษายน จึงทำให้เครื่องปรับอากาศเป็นที่ต้องการต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก บริษัทจึงมีการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือเต็มที่
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,564 วันที่ 9-11 เมษายน 2563