นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทยตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมกลุ่มธุรกิจอาหาร (Food)ของบริษัทในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 15% ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่อาหาร (None Food) เติบโตขึ้นเพียง 2% เท่านั้น ซึ่งการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ประชาชนหันมาจับจ่ายสินค้าจำเป็น จำพวกอาหารมากขึ้น โดยประเมินว่าช่วง 2-3 เดือนนับจากนี้สถานการณ์การวิกฤติภายในประเทศน่าจะเริ่มคลี่คลาย แต่จะดีขึ้นมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอบู่กับภาครัฐบาลว่าจะมีมาตรการตั้งรับหรือนโยบายรองรับอย่างไร โดยมองว่าควรจะมีการตั้งรับการระบาดระลอกสอง (Second Wave) อย่างเช่นที่หลายประเทศประสบมา
“อุตสาหกรรมอาหารถือว่าโชคดีในภาวะวิกฤติดังกล่าวที่ยังสามารถสร้างการเติบโตได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าก็ไม่ได้โดดเด่นมากนักเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นที่อยู่ในภาวะขาขึ้น ซึ่งภายหลังที่วิกฤติโควิด-19 ผ่านพ้นไป มองว่าหลายอุตสาหกรรมจะต้องมีการปรับตัว แรงงานในหลายภาคส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร ดังนั้นธุรกิจจึงจำเป็นต้องมองหา New S curve ใหม่ๆในการเติบโต แทนที่ New S curve เดิมที่มีการวางไว้และถูกเปลี่ยนแปลงไป ”
พร้อมกันนี้ยังได้มีการจัดตั้ง New Normal Team ขึ้นมาใหม่ โดยจะเป็นการระดมคนรุ่นใหม่ไฟแรง และบุคลากรที่มีศักยภาพของบริษัทไว้ในทีม ในการกำหนุดยุทธศาสตร์การดำเนินงานของบริษัทเพื่อรับกระแสเทรนด์ความปกติแบบใหม่ (New Normal ) ที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต โดยมองว่าเทรนด์ New Normal นั้นจะเกิดขึ้นจริงในอีก 1 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย เพราะต้องอาศัยระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งแน่นอนว่าก่อนจะมีการเกิด New Normal ขึ้น จะต้องผ่านช่วงเวลาของ New Ab Normal เสียก่อน ซึ่งตรงจุดนี้เองที่เป็นช่วงให้บริษัทได้จัดทำแผนงานและตั้งรับให้ทันท่วงที
ขณะเดียวกันช่วงที่ผ่านมาภายหลังบริษัทยังรุกเข้าไปในช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทั้งการจำหน่าย บริการดีลิเวอรี พบว่ายอดขายตลอดช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์เติบโตทะยานกว่า 100% แต่ทว่ายังเป็นการเติบโตที่มาจากฐานที่ยังเล็กอยู่มากก็ยังทำให้ช่องทางดังกล่าวขาดทุนอยู่ ดังนั้นโจทย์ใหญ่นับจากนี้คือการบริหารจัดการช่องทางออนไลน์ให้มีศักยภาพพร้อมทั้งเร่งสปีดให้ ซึ่งแน่นอนว่าที่ผ่านมีการพัฒนาในส่วนของ Server ข้อมูลระบบดีลิเวอรีออนไลน์เพื่อสร้างความคุ้นเคยแก่ลูกค้ามากขึ้น โดยได้เตรียมคลังกระจายสินค้าในย่านพระราม 3 ไว้รองรับระบบการจัดส่งดีลิเวอรี่ให้เพียบพร้อมอีกด้วย เพื่อสร้างให้ประชาชนเกิดความคุ้นเคยแล้ว ก็จะจับจ่ายในชีวิตประจำวันจนเป็นความเคยชินและสามารถสร้างกำไรได้ในที่สุด
“การเข้ามาของโควิด-19 ทำให้เรามีการเรียนรู้และก้าวเข้าไปในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับออนไลน์ฉและเดลิเวอรี่เร็วขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นการดีที่จะได้เตรียมพร้อมและตั้งรับในช่วงของการเปลี่ยนผ่านให้ทันท่วงที”
อย่างไรก็ตามในสถานการณ์วิกฤติดังเช่นปีนี้ บริษัทก็ได้ชะลอแผนการลงทุนออกไป เพื่อรอประเมินสถานการณ์คลี่คลาย โดยในส่วนของคลังสินค้าขนาดใหญ่แห่งใหม่ที่ จ.ชลบุรี มีแผนเลื่อนเปิดปี 2564