นายคมสัน ขวัญใจธัญญา รักษาการประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และผู้บริหารระดับสูงจากห้างค้าปลีกและศูนย์การค้า ประกอบด้วย นายญนน์ โภคทรัพย์ นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล นางวิภาดา ดวงรัตน์ นายพิทยา เจียรวิสิฐกุล นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ให้การต้อนรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางมายังสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เพื่อรับฟังสถานการณ์ และข้อเสนอแนะจากกรรมการสมาคมฯ ซึ่งธุรกิจค้าปลีกและศูนย์การค้าเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจสำคัญที่ได้รับผลกระทบ และมีแรงงานในภาคธุรกิจค้าปลีกและแรงงานที่เกี่ยวเนื่องเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา
โดยนายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้นำเสนอนโยบายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศของสมาชิกสมาคมและภาคีเครือข่ายค้าปลีกต่างจังหวัด ปัญหาและข้อเสนอแนะแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจในอีก 8-24 เดือน เพื่อให้ประเทศชาติฟื้นคืนสู่ภาวะปกติและก้าวสู่การเติบโตตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 20 ปี ระบุว่า
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อตัวเลขดัชนีค้าปลีกโดยไตรมาส 1 การเติบโตติดลบ 3-7% ขณะที่ไตรมาส 2 ติดลบ 20 – 50% ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีกในย่านเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ รวมถึงร้านค้าปลีกแฟชั่น เครื่องหนัง เครื่องสำอาง ได้รับผลกระทบมากที่สุด จนเมื่อมาตรการผ่อนคลายความเข้มข้น ธุรกิจค้าปลีก คาดว่าจะเริ่มทรงตัว แต่การเติบโตก็ยังไม่เหมือนเดิม คาดว่ายังคงติดลบมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสสามของปีที่แล้ว
“สมาคมคาดว่า ธุรกิจค้าปลีกและศูนย์การค้า จะพลิกฟื้นกลับมาจุดเดิมคงต้องใช้เวลา 8-24 เดือน หลังจากที่สถานการณ์ COVID-19 ดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวมากหรือน้อย”
สำหรับนโยบายสมาคมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากวิกฤต COVID – 19 ประกอบไปด้วย 1. การจ้างงาน วิกฤติครั้งนี้สร้างผลกระทบต่อแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบได้รับผลกระทบกันทั่วหน้า ที่มากสุดก็คือ ภาคบริการ ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร สมาชิกสมาคมฯ และศูนย์การค้า รวมถึงเครือข่ายภาคีค้าปลีกต่างจังหวัด มีมติให้คงการจ้างงานที่มีอยู่ 1 ล้านคน และจะไม่มีการเลิกจ้างแต่อย่างใด
การสร้างงาน สมาชิกสมาคมที่ดำเนินธุรกิจศูนย์การค้ากว่า 100 ศูนย์ รวมทั้งพื้นที่การค้าในไฮเปอร์มาร์เก็ต อีกกว่า 350 สาขา เชื่อว่าจะสามารถสร้างงานเพิ่มขึ้นอีก 1.2 แสนอัตรา มีการซื้อสินค้าจากกลุ่มกลุ่มเกษตรกรโดยตรงปีละ 1.8 หมื่นล้านต่อปี จะเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาทต่อปี จะตรึงราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนกว่า 5 หมื่นรายการ ตลอดปี
นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในระยะสั้น ประกอบไปด้วย
1.การอนุมัติ Soft Loan ผ่านแพลตฟอร์มค้าปลีก เพิ่มสภาพคล่องแก่วิสาหกิจ SME และ เกษตรกร ด้วยการอนุมัติ Soft loan ผ่านแพลตฟอร์มค้าปลีก เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องใหม่ของหลายคน แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้และตรงเป้าที่สุด ธุรกิจค้าปลีกเปรียบเสมือนแพลตฟอร์มใหญ่ที่เชื่อมต่อผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย เกษตรกร สู่ผู้บริโภค การพิจารณาสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการกว่า 400,000 ราย ผ่านแพลตฟอร์มกลุ่มธุรกิจค้าปลีก การพิจารณา Soft Loan ให้กับผู้ประกอบการผ่านแพลตฟอร์มค้าปลีก จะเป็นช่องทางที่จะถึงมือผู้ประกอบการโดยตรงและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
2.ช่วยเหลือค่าครองชีพแก่แรงงานภาคค้าปลีกและบริการ ทั้งผ่านระบบประกันสังคม โดยเสนอให้ขยายมาตรการเยียวยาในระบบประกันสังคมให้ยังได้รับความช่วยเหลือตามสิทธิประกันสังคมต่อไปอีกจนถึงสิ้นปี พ.ศ.2563 , การผ่อนผันให้มีการจ้างงานเป็นรายชั่วโมงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อแรงงานมีความยืดหยุ่นในการเพิ่มรายได้
3. กระตุ้นแคมเปญการจับจ่ายและการบริโภค เสนอให้นำโครงการ “ช้อป ช่วย ชาติ” กลับมาสามารถช้อปได้ทุกสินค้า โดยมีวงเงิน 5 หมื่นบาท ตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงธันวาคม , การผลักดันโครงการ “ไทยเที่ยวไทย ไทยช้อปไทย” เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
4. มาตรการช่วยลดต้นทุน และเสริมสภาพคล่องธุรกิจค้าปลีก ได้แก่ พิจารณาเลื่อนการจ่ายภาษีนิติบุคคลในงวดครึ่งปีหลังของปี 2562 , พิจารณาลดภาษีนิติบุคคลจากอัตรา 20% เป็น 10% เป็นเวลา 3 ปี , พิจารณายกเว้นภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ประจำปี 2563 – 2564 , พิจารณาให้นำงบการลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการยกระดับสาธารณสุขเพื่อให้อาคารสถานที่ปลอดจากเชื้อไวรัส COVID - 19 มาเป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 3 เท่า , พิจารณาปรับลดเงินสมทบประกันสังคมในส่วนนายจ้างจาก 4% เป็น 1% ตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนธันวาคม 2563 , พิจารณาลดอัตราค่าสาธารณูปโภค ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ลงอย่างน้อย 15% จากอัตราปกติเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี และพิจารณาให้นำงบการลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการลงทุนเพื่อสร้าง Digital Infrastructure เพื่อสร้าง Ecosystem สู่การ Work from Home และe-commerce ตามนโยบาย Thailand 4.0 มาเป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 3 เท่า