นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดี กรมสรรพากร เปิดเผยถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ กรณีฌอน บูรณะหิรัญ นักสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังรับเงินบริจาค เพื่อช่วยไฟป่ากว่า 8 แสนบาทว่า ในหลักการผู้มีเงินที่ได้รับการบริจาคมา จะต้องนำเงินไปใช้บริจาคตามวัตถุประสงค์ทั้งหมด และมีการทำบันทึกรายรับ รายจ่ายอย่างชัดเจนจึงจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้
อย่างไรก็ตาม กรมคงไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ บัญชีรายรับของนายฌอนทันที เป็นหน้าที่ของผู้เสียภาษี ต้องยื่นแบบรายได้ประจำปีให้กรมทราบ ซึ่งรวมทั้ง รายได้ รายจายส่วนตัวและเงินบริจาคทั้งหมด ต้องชี้แจงได้ว่ามีที่มารายได้และนำไปใช้อย่างไร จากนั้นกรมสามารถใช้อำนาจตรวข้อมูลที่ยื่นมาอีกครั้งว่า เงินที่ได้รับบริจาค และนำไปใช้บริจาคตรงกันหรือไม่ โดยสามารถตรวจได้ทุกบาททุกสตางค์
ส่วนกรณีที่บริจาคส่วนหนึ่งมาใช้ผลิตสื่อ 2.5 แสนบาท กรมต้องขอไปตรวจสอบก่อนว่าจะเข้าข่ายได้รับการยกเว้นภาษีด้วยหรือไม่ เพราะไม่ใช่เป็นการนำเงินไปบริจาคต่อ
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า ตามหลักการแล้ว ผู้ใดได้รับเงินบริจาคโดยไม่ได้รับการยกเว้น เท่ากับผู้นั้นเป็นผู้มีเงินได้ และตามกฎหมายต้องยื่นเสียภาษีเงินได้ประจำปีด้วยตนเอง โดยสามารถนำรายจ่ายต่าง ๆ มาหักออกจากเงินได้เพื่อคำนวณภาษีได้ อย่างไรก็ตามหากผู้รับเงินบริจตั้งตัวเองเป็นตัวแทนในการรับบริจาค และได้ทำบัญชีรับจ่ายเงินที่รับบริจาคแยกต่างหากจากบัญชีส่วนตัว และได้นำเงินทั้งหมดไปบริจาคตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ กรณีนี้จะไม่ถือเป็นเงินได้ของผู้รับบริจาค
อย่างไรก็ตามภายหลังจากยื่นแบบภาษีแล้ว หากกรมฯ ตรวจสอบพบว่าไม่ได้เงินนำบริจาคไปบริจาคต่อ และไม่ได้นำมายื่นรวมเป็นเงินได้ กรมสามารถเรียกให้มาเสียเพิ่มเติมภายหลังได้ทั้งนี้ กรมสรรพากรมีหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลการยื่นแบบภาษี รายรับ รายจ่าย การยกเว้นภาษีจากเงินบริจาค เพื่อให้เสียภาษีให้ถูกต้องเท่านั้น ส่วนกรณีการนำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ กรมฯไม่มีอำนาจส่วนนี้