สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ในช่วงล็อคดาวน์ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ทั่วประเทศต้องปิดให้บริการ รวมถึงศูนย์การค้าในกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งบริหารโดยบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ทั้ง 33 แห่งในประเทศไทย และ 1 แห่งในประเทศมาเลเซียต้องปิดให้บริการชั่วคราวด้วย ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในปีนี้
นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ลดลง หากไม่รวมรายการที่มิได้เกิดขึ้นเป็นประจำและผลกระทบจากมาตรฐานรายงานทางการเงิน โดยบริษัทมีรายได้รวม 3,613 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 611 ล้านบาท ในขณะที่ภาพรวมครึ่งปีแรกของปี 2563 มีรายได้รวม 12,183 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานหลักอยู่ที่ 1,890 ล้านบาท
ส่วนใหญ่มาจากผลการดำเนินงานช่วง 2 เดือนแรก ขณะที่การล็อคดาวน์ส่งผลให้ศูนย์การค้าทั้ง 34 แห่งต้องปิดให้บริการชั่วคราวระหว่าง 45-56 วันตามแต่ละพื้นที่ โดยยังคงเปิดให้บริการในส่วนที่จำเป็นแก่ลูกค้า รวมทั้งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมในธุรกิจอื่น อาทิ ศูนย์อาหารและโรงแรม เป็นต้น ส่งผลให้ผลซึ่งในระยะเวลาต่อมาได้ให้ความช่วยเหลือแก่ร้านค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม เพื่อร่วมกันประคับประคองผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตไปด้วยกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บริษัทยังรักษาความแข็งแกร่งของฐานะการเงินด้วย Net D/E ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 0.55 เท่า ต่ำกว่าระดับนโยบายของบริษัทฯที่ 1 เท่า ซึ่งถือว่ามีความพร้อมและยืดหยุ่นมากในการบริหารโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ทั้งนี้หลังจากมีการประกาศมาตรการผ่อนคลายล็อคดาวน์จากทางภาครัฐ ที่ทางบริษัทได้กลับมาเปิดให้บริการศูนย์การค้าทั้ง 34 แห่งอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2563 บริษัทได้มีการบริหารจัดการลดต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายทุกด้าน พร้อมปรับแผนการดำเนินงานใหม่ให้เหมาะสมเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อรายได้และกำไร
โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนและรักษาผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ ได้มีการช่วยเหลือดูแลร้านค้าผู้เช่าและคู่ค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องด้วยการพิจารณายกเว้นค่าเช่าในช่วงที่มีการปิดศูนย์และปรับลดค่าเช่าตามสัดส่วนที่เหมาะสมทำให้ผู้เช่าสามารถกลับมาเปิดให้บริการในศูนย์การค้าได้อีกครั้ง ส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาอัตราพื้นที่เช่าไว้ได้เฉลี่ยที่ 92% เท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจุบันซีพีเอ็นบริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 7 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 12 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, และ PHYLL จำนวน 9 โครงการ และโครงการแนวราบ จำนวน 3 โครงการ
ไตรมาส 1 ปี 2563 ที่ผ่านมา ได้เปิดตัว 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ เอสเซ็นท์ทาวน์ พิษณุโลก และนินญา กัลปพฤกษ์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี นอกจากนี้ CPN เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ที่ดำเนินการแล้ว และสินทรัพย์ที่รอการพัฒนาอยู่บนทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ
บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ตามแผนระยะยาวที่วางไว้ โดยโครงการมิกซ์ยูสที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา และเซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา (กำหนดเปิดปี 2564) เซ็นทรัลพลาซา จันทบุรี (กำหนดเปิดปี 2565) และโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) บนทำเลทอง “ซุปเปอร์คอร์ ซีบีดี” ในกรุงเทพฯ โดยจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไป
สำหรับแผนการลงทุนและเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 2563-2567) บริษัทได้ปรับแผนการลงทุน และแผนพัฒนาโครงการใหม่ที่ยังไม่ได้ประกาศ ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่าเพื่อเตรียมความพร้อม และรักษาสถานะทางการเงินและสภาพคล่องเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายจาก COVID-19
รวมทั้งศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจใหม่ในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน