"ทรีนีตี้"มองหุ้นเดือนกันยาฯขาดปัจจัยใหม่กระตุ้น

31 ส.ค. 2563 | 08:43 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.ย. 2563 | 01:18 น.

แถมในมิติเชิงมูลค่ายังมี Downside เป็นต่อ Upside หลังนักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการ EPS แนะกันเงินสดไว้ส่วนหนึ่งเพื่อรอซื้อในช่วงดัชนีย่อตัวหรือปรับฐาน ให้กรอบการเดือนนี้ที่ 1,270 -1,340 จุด

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนหุ้นในเดือนกันยายนว่า ดัชนีมีโอกาสที่จะปรับตัว Sideways ถึง Sideways down หลังนักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยประมาณการ EPS ปี 2021 ณ ตอนนี้อยู่เพียง 76.7 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ หากอิงกับ PE Model ของทรีนีตี้ซึ่งมีกรอบบนของ Forward PE อยู่ที่ 16.8 เท่า จะได้ว่าระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมในกรณีดีสุดจะอยู่เพียงแค่ 1,290 จุดเท่านั้น ซึ่งหากเทียบเคียงกับดัชนีปัจจุบัน จะเห็นว่ามี Downside risk อยู่ จึงประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสแกว่งตัวอิงทางลงมากกว่าในเดือนนี้

 “ขณะนี้การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ไม่ใช่จังหวะการลงทุนที่ปลอดภัยมากนัก เพราะ Earning Yield Gap ของ SET  ทำจุดต่ำสุดครั้งใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเทียบเคียงกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยหรือสหรัฐฯเองก็ตาม ซึ่งทำให้ช่วงถัดไปอาจเห็นการโยกย้ายเม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ทั้งไทยและเทศมากขึ้น”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บล.ทิสโก้ ชี้กลุ่มพลังงานถ่วงหุ้นไทยขึ้นน้อยกว่าตลาดโลก จับตาการเมืองกดดันซ้ำ

Bitkub จับมือ ทรีนีตี้ นำคุณสู่โลกลงทุนยุคใหม่กับ Cryptocurrency

“ทรีนีตี้” มองหุ้นเดือน ส.ค.แกว่งตัว Sideways

"ทรีนีตี้"เตรียมจำหน่ายหุ้นกู้ของ NPS

"ทรีนีตี้"คาดเศรษฐกิจไทยใช้เวลา 3 ปีฟื้นตัว

 

นายณัฐชาต กล่าวว่า การลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจโตต่ำ หรือบางประเทศถึงขั้นติดลบส่งผลให้นักลงทุนแสวงการลงทุนในหุ้น Growth stock หรือหุ้นเติบโต โดยนักลงทุนยอมที่จะจ่ายค่าพรีเมี่ยมให้กับหุ้นเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าหุ้นเติบโตซึ่งในกรณีของไทยมักเป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจึงเป็นธีมการลงทุนหลักในตลาดโลก ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้น Value stock หรือหุ้นที่มีมูลค่าถูกในช่วงนี้ ทั้งนี้ ทรีนีตี้คาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงเกิดขึ้นต่อไป ตราบใดที่เศรษฐกิจยังไม่เข้าสู่ช่วงของการฟื้นตัวอย่างแท้จริง

“ตอนนี้หุ้นไทยไม่ได้อยู่ในสายตานักลงทุนต่างประเทศเลยเพราะหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ถูกปรับลดประมาณการ EPS ลงมาต่อเนื่อง แถมปีหน้าจะโตเพียง 20% เท่านั้น แต่ทว่าในทางกลับกัน หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในดัชนี sSET กลับได้รับการปรับประมาณการเพิ่มจากนักวิเคราะห์ในตลาด จนทำให้ Forward PE ปัจจุบันของหุ้นกลุ่มนี้อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและถูกว่า Forward PE ของหุ้นขนาดใหญ่อีกด้วย” 

  นายณัฐชาต กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในเดือนกันยายน แนะนำนักลงทุนรอจังหวะที่ดัชนีย่อตัวลงมาที่บริเวณแนวรับในการเข้าสะสมหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีธีมการลงทุนน่าสนใจ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ธีมดังนี้ 1. กลุ่มบริหารหนี้ที่ได้ประโยชน์จากหนี้เสียที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แนะนำ JMT และ CHAYO 2. กลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบราคาถูก และอิงกับสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งได้รับผลกระทบน้อย หากเศรษฐกิจและกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว แนะนำ SFLEX, PTL, BGC, UTP 3. กลุ่มปั๊มน้ำมัน ซึ่งได้ประโยชน์จากค่าการตลาดที่ทรงตัวในระดับสูง และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ แนะนำ PTG 4. กลุ่มถุงมือยาง ที่มียอดการส่งออกแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าสามารถหาจังหวะการเข้าซื้อได้ในช่วงที่มีข่าวดีเรื่องวัคซีนต้าน COVID-19 ออกมา แนะนำ STGT และ 5. หุ้นอื่นๆที่มี Earnings momentum เชิงบวกในช่วงครึ่งปีหลัง อาทิ ILINK, PRM, TKN, TPCH เป็นต้น

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในเดือนกันยายนก็คือ ตัวเลขภาคการผลิตทั่วโลก หากตัวเลขดีอาจเป็น Sentiment เชิงบวกกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ซึ่งจะมีคิวการประชุมกันอย่างหนาแน่นในเดือนนี้ ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศ ติดตามประเด็นทั้งในสภาและนอกสภา อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญและงบประมาณ และการชุมนุมของกลุ่มคนต่างๆ สุดท้าย ต้องติดตามความเป็นไปได้ในการต่ออายุมาตการควบคุมการชอร์ตเซลของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถ้าหากถูกยืดออกไปจากจากที่จะครบกำหนดอายุในวันที่ 30 ก.ย. นี้ ก็อาจทำให้การปรับฐานแรงๆของดัชนีนั้นยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่เช่นเดิม

นายณัฐชาต กล่าวว่า ทรีนีตี้ ให้ความสำคัญเรื่อง  Asset Allocation มาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ช่วงต้นปีแนะนำการลงทุนในทองคำราว 10%  ของพอร์ตการลงทุนรวม แต่เมื่อทองคำปรับตัวทะลุระดับ 2,000 เหรียญฯต่อออนซ์ จึงแนะนำให้ลดน้ำหนักลงมาเหลือ 5% อย่างไรก็ตาม ล่าสุดหลังราคาหลุดต่ำกว่า 2,000 เหรียญฯต่อออนซ์อีกครั้ง จึงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักอีกครั้งหนึ่งมาอยู่ที่สัดส่วนราว 5-10% ของพอร์ต โดยมองว่าการลงทุนในทองคำยังคงมีความน่าสนใจ จากแนวนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯที่จะยังคงผ่อนคลายต่อเนื่อง รวมถึงมีการปล่อยให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มทะลุระดับ 2% ได้ในบางช่วงเวลา ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรแท้จริงอยู่ในระดับติดลบต่อไป ทั้งนี้ ประเมินภาวะฟองสบู่ในทองคำจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าราคาทองคำจะขึ้นไปที่ระดับ 2,166 เหรียญฯต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาที่เทียบเท่าจุดสูงสุดในยุค 1980 ในมิติของราคาทองคำแท้จริง