แผ่นดินไหว! เมื่อวันที่ 28มีนาคม 2568 จุดศูนย์กลางเกิดขึ้นที่บริเวณเมือง “มัณฑเลย์ประเทศเมียนมา” แรงสะเทือนถึงไทยทั่วประเทศ กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยารายงานขนาด 7.4 แรงสั่นสะเทือนขยายวงกว้างมาในหลายจังหวัดภาคเหนือ รวมถึงภาคกลางของไทยเกิดเหตุการณ์ตึกสูงได้รับแรงสะเทือนดังกล่าว ระหว่างทุกหน่วยงานเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ เร่งประเมินความเสียหาย ทั้งอาคารและประชาชน และหน่วยงานต่างๆเตรียมรับมือกับ “อาฟเตอร์ช็อก”
ประเทศไทยอาจไม่ใช่ประเทศที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวเทียบเท่าประเทศในเขตวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) แต่เหตุการณ์แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่กลับเตือนเราว่า “ภัยธรรมชาติ” อย่างแผ่นดินไหวสามารถเกิดขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึง และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ชีวิต และทรัพย์สินอย่างมหาศาล แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงบางครั้ง แต่ในมุมมองของ คณิตศาสตร์ประกันภัย นั้นถือเป็น “ความเสี่ยงสุ่ม” (Random Risk) ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ และนี่คือโจทย์สำคัญสำหรับทั้งภาคธุรกิจและคนทั่วไปในการเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้
แผ่นดินไหวกับผลกระทบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม
การเกิดแผ่นดินไหวไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในระดับบุคคล เช่น ความเสียหายต่อบ้าน รถยนต์ และชีวิต แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวมในหลายมิติ ได้แก่:
1.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
อาคารบ้านเรือนที่เสียหายจากแผ่นดินไหวจำเป็นต้องซ่อมแซม ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการดำเนินการของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำให้มูลค่าทรัพย์สินลดลง หากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของโครงการ
2.ธุรกิจประกันภัย
แผ่นดินไหวถือเป็นหนึ่งใน “ภัยธรรมชาติ” ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจประกันภัยโดยตรง เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีความเสียหายรุนแรง บริษัทประกันต้องเผชิญกับการเรียกร้องสินไหมทดแทนจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินการในระยะยาว โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ หากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว และบริษัทประกันภัยไม่ได้เตรียมสำรองทางคณิตศาสตร์ประกันภัยไว้ หรือไม่ได้ทำประกันภัยต่อ (Reinsurance) ไว้เพียงพอ ก็อาจนำไปสู่ผลกระทบในวงกว้างต่อเสถียรภาพทางการเงินของทั้งอุตสาหกรรม
3.ภาคธุรกิจและการผลิต
โรงงานอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่มีโรงเก็บสินค้าอาจเผชิญกับความเสียหายต่อโครงสร้างและเครื่องจักร อันนำไปสู่การหยุดชะงักของสายการผลิต ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อรายได้ของบริษัท แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมไปยังห่วงโซ่อุปทานโดยรวม
4.การลงทุนและตลาดทุน
ในบางกรณี เหตุการณ์แผ่นดินไหวอาจสร้างความวิตกกังวลในตลาดการเงิน โดยเฉพาะกับนักลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น อสังหาริมทรัพย์ ประกันภัย และการก่อสร้าง
ผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัย: ความเสี่ยงและการปรับตัว
แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงบางครั้ง แต่ในมุมมองของ คณิตศาสตร์ประกันภัย นั้นถือเป็น “ความเสี่ยงสุ่ม” (Random Risk) ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ และนี่คือโจทย์สำคัญสำหรับทั้งภาคธุรกิจและคนทั่วไปในการเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้
ภาคธุรกิจประกันภัยถือเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวมากที่สุด เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการแบกรับความเสี่ยงผ่านการจ่ายสินไหมทดแทน อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะเห็นว่า บริษัทประกันภัยคงจะต้องมีการปรับตัวในหลากหลายมิติ เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น:
1.การปรับโครงสร้างเบี้ยประกันภัย
จากมุมมองของ คณิตศาสตร์ประกันภัย การคำนวณเบี้ยประกันภัยที่ครอบคลุมแผ่นดินไหวจะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น โอกาสการเกิดแผ่นดินไหว ความรุนแรงในพื้นที่ และประวัติการเกิดเหตุในอดีต เมื่อความถี่และความเสียหายเพิ่มขึ้น เบี้ยประกันภัยจึงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
2.การทำประกันภัยต่อ (Reinsurance)
เพื่อกระจายความเสี่ยง บริษัทประกันภัยในประเทศไทยส่วนใหญ่จะทำสัญญาประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ในระดับสากล การดำเนินการเช่นนี้ช่วยให้บริษัทประกันสามารถลดความเสี่ยงจากการจ่ายสินไหมทดแทนก้อนใหญ่ในกรณีเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรง
3.การให้ความรู้แก่ผู้บริโภค
บริษัทประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงผ่านผลิตภัณฑ์ประกันภัย เช่น การให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของกรมธรรม์ที่ครอบคลุมแผ่นดินไหว หรือข้อยกเว้นที่ควรทราบ
4.การบริหารความเสี่ยงด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)
ธุรกิจประกันภัยเริ่มใช้ข้อมูลเชิงลึกจากเทคโนโลยี Big Data และ Machine Learning เพื่อประเมินความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติในเชิงลึกและแม่นยำยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตั้ง ความหนาแน่นของประชากร หรือข้อมูลเชิงพื้นที่ (Geospatial Data)
ข้อแนะนำสำหรับคนทั่วไปในการเริ่มต้นวางแผนซื้อความคุ้มครองแผ่นดินไหว
1.ตรวจสอบความคุ้มครองในกรมธรรม์ที่มีอยู่
เราควรเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบกรมธรรม์ปัจจุบัน เช่น ประกันบ้าน ประกันรถยนต์ และประกันชีวิต ว่าครอบคลุมความเสียหายจากแผ่นดินไหวหรือไม่ หากยังไม่มีความคุ้มครอง สามารถติดต่อบริษัทประกันเพื่อเพิ่มความคุ้มครอง
2.ศึกษาข้อมูลการคำนวณเบี้ยประกันภัย
ถ้าใครพอมีความรู้ทางด้านสถิติตัวเลชหรือทางพื้นฐานความเข้าใจในคณิตศาสตร์ประกันภัย ก็สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการคำนวณเบี้ยประกันภัยจะช่วยให้คุณเลือกซื้อกรมธรรม์ที่เหมาะสมที่สุด หรือสนใจศึกษาได้ที่ www.tommypichet.com/article
3.วางแผนความคุ้มครองให้เหมาะกับความเสี่ยงส่วนบุคคล
หากคุณมีบ้านในพื้นที่เสี่ยงสูง เช่น ใกล้รอยเลื่อนที่ยังคุกรุ่น การทำประกันภัยที่ครอบคลุมแผ่นดินไหวจะช่วยลดภาระทางการเงินอย่างมาก
สรุป:
เหตุการณ์แผ่นดินไหวเป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง ไม่ว่าจะในระดับบุคคลหรือภาคธุรกิจ การวางแผนความคุ้มครองที่ครอบคลุมทุกมิติผ่านมุมมองเชิง คณิตศาสตร์ประกันภัย จะช่วยลดผลกระทบและสร้างความมั่นคงในระยะยาว
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยได้ที่:
www.tommypichet.com/article