หลังเข้าซื้อกิจการและทุ่มงบขยายสาขาร้านซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ตจนโด่งดัง ล่าสุด “เสถียร เศรษฐสิทธิ์” พร้อมเพื่อนร่วมก๊วนคาราบาวกรุ๊ป สุ่มพัฒนาร้านโชห่วย ของชาวบ้านธรรมดาๆ ให้เป็นร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ ในรูปแบบโลว์คอส คอนวีเนียนสโตร์ เน้นสะอาดสะอ้าน มีสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมทั้งทำให้มียอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งในช่วงปีเศษที่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันมีร้านโชห่วยเข้าร่วมและพลิกโฉมสู่ร้าน “ถูกและดี มีมาตรฐาน” แล้วกว่า 200 สาขา และมีผู้แสดงความจำนงเข้าร่วมอีกเป็นจำนวนมาก จึงไม่แปลกหาก “เสถียร เศรษฐสิทธิ์” ประธานกรรมการ คาราบาวกรุ๊ป และประธานกรรมการ บริษัท ซี.เจ เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด มั่นใจว่าในไตรมาส 1 ปี 2564 จะเห็นร้านถูกดี มีมาตรฐาน กระจายอยู่ทั่วประเทศถึง 1,000 สาขา
“เสถียร” บอกว่า จากเริ่มต้นทดลองทำสาขาแรกที่ จ.นครปฐมในปี 2562 หลังพลิกโฉมร้านโชห่วยเป็นร้านสะดวกซื้อสวยงาม พบว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น จึงขยายไปยังจ.ขอนแก่น ตามด้วยจ.พิษณุโลก ซึ่งทุกร้านมียอดขายเพิ่มขึ้นทำให้มั่นใจและพร้อมเดินหน้าต่อ โดยรูปแบบจะเป็นการเข้าไปช่วยพัฒนาร้านค้าให้มีระบบการบริหารจัดการที่ดี มีการตกแต่งร้านให้สวยงาม ซึ่งใช้เงินลงทุนเฉลี่ย 1 ล้านบาทต่อร้าน ซึ่งบริษัทจะเป็นผู้ลงทุนให้ทั้งหมด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จัก แบรนด์น้องใหม่ “ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต” หัวหอกบุกเมืองหลวง
“เดิมร้านโชห่วยเหล่านี้มียอดขาย 2,000-3,000 บาทต่อวัน แต่เมื่อปรับปรุงร้านแล้วเป้าหมายคือต้องมียอดขาย 1.5 หมื่นบาทต่อวัน ซึ่งจะทำให้ร้านค้าอยู่ได้ และอนาคตจะผลักดันให้มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2 หมื่นบาทต่อวัน โดยจะแบ่งสัดส่วนรายได้ร้านค้า 85% และของบริษัท 15% ซึ่งแม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยแต่เรามุ่งให้ร้านค้าอยู่ได้เป็นหลัก”
“ถูกดี มีมาตรฐาน” เป็นเหมือนโลว์คอส คอนวีเนียนสโตร์ ซึ่งร้านค้าเหล่านี้มีเป็นจำนวนมากในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย เหมือนที่บ้านเราเรียกว่า “โชห่วย” แต่ร้านค้าเหล่านี้เป็นร้านค้าของท้องถิ่นที่มีความแข็งแรง เพราะวางรากฐานกันมาดี ทำให้เมื่อค้าปลีกต่างชาติหรือค้าปลีกรายใหญ่เข้ามาก็ยังสามารถแข่งขันได้ ต่างกับโชห่วยบ้านเราที่ทยอยปิดตัวลง
“หลังจากที่เริ่มต้นเรียนรู้ในธุรกิจค้าปลีกจากซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้มองเห็นโอกาสในธุรกิจค้าปลีกอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะร้านค้าปลีกของคนไทยที่นับวันจะลดลง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่การทำให้เขาเหล่านี้แข็งแรง มียอดขายที่ดี มีกำไร เขาก็จะอยู่ได้”
สำหรับเป้าหมายของถูกดี มีมาตรฐานคือการขยายสาขาให้ได้ 5,000 สาขาในปี 2564 และเพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นสาขาในปี 2565 และมี 3 หมื่นสาขาภายใน 5-6 ปีนับจากนี้
“เป้าหมายของถูกดี มีมาตรฐานคือ การรุกเจาะระดับหมู่บ้าน ที่คู่แข่งไม่ไป โดยลงไปพัฒนายกระดับให้โชห่วยกลายเป็นมืออาชีพ ซึ่งเบื้องต้นบริษัทได้ลงไปโรดโชว์ ซึ่งได้รับความสนใจจากร้านค้าต่างๆจำนวนมาก”
“เสถียร” บอกอีกว่า หากมีร้านถูกดี มีมาตรฐาน 3 หมื่นสาขา ในตู้แช่ที่เต็มไปด้วยสินค้า การจัดเรียงสินค้า การจัดโปรโมชั่นของคาราบาวแดง ทุกร้านก็จะเป็นช่องทางเจาะเข้าถึงชาวบ้าน ทำให้แบรนด์มีแต้มต่อเหนือคู่แข่ง และแม้วันนี้เขาจะต้องขาดทุนไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท แต่เขายังเชื่อมั่นและพร้อมเดินหน้าสร้างโลว์คอส คอนวีเนียนสโตร์แบรนด์ไทยให้แข่งขันในตลาดค้าปลีกเมืองไทยให้ได้...