ยังเป็นที่จับตา สำหรับดีลเทกโอเวอร์ขนาดใหญ่ ของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ที่จะเข้าซื้อหุ้นในบริษัท อินทัช โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ ในราคาหุ้นละ 65 บาท จำนวนไม่เกิน 2,599,631,112 หุ้น หรือ 81.07% ของหุ้นทั้งหมดของ INTUCH คิดเป็นเงินรวม 1.69 แสนล้านบาท จากปัจจุบันถือครองหุ้นอยู่ 18.93% โดยจะนำเรื่องเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้น GULF ในวันที่ 25 มิถุนายน 2564
ทั้งนี้ หากผู้ถือหุ้นอนุมัติและการควบรวมสำเร็จ ธุรกิจของกัลฟ์จะเป็นธุรกิจแรกที่มีขนาดใหญ่สุด มีมูลค่าตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) สูงถึง 1,111,174.97 ล้านบาท ซึ่งมาร์เก็ตแคป ณ 28 เมษายน 2564 อยู่ที่ 395, 993.81 ล้านบาทแล้ว
มีผลตอบแทนที่ดี
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาห กรรมโทรคมนาคม ชี้ให้เห็นว่าดีลครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นนี้ ในวงการตลาดหุ้นและโทรคมนาคม ต่างพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า การซื้อหุ้น INTUCH ครั้งนี้ มีนัยยะที่มองได้ 2 ประการ เป็นการทำภารกิจเพื่อชาติ หรือทำเพื่อผลประโยชน์ต่างตอบแทน ที่มีนายสารัชถ์ รัตนาวะดี กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF อยู่เบื้องหลัง
วัตถุประสงค์แรก หากมอในแง่ของนักลงทุน เห็นว่า INTUCH เป็นโอกาสด้านการลงทุน นอกจากอินทัชจะเป็นแพลตฟอร์มที่ดี มีบริษัทลูกที่หลากหลาย ยังมีกระแสเงินสดที่ดี และมีประวัติการจ่ายปันผลที่ดีด้วย
“หากประเมินจากเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นใหญ่จะได้รับอย่างปัจจุบันที่ SINGTEL GLOBAL INVESTMENT PTE. LTD. หรือ สิงเทล ซึ่งถือหุ้น 21% ใน INTUCH และ 23.32% ใน ADVANC ได้รับเงินปันผลจาก 2 บริษัท ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารวม 36,201 ล้านบาท เมื่อเทียบกับที่สิงเทลเข้ามาซื้อหุ้น INTUCH ในราคา 60.83 บาท หรือราว 4.07 หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ดั้งนั้นกัลฟ์จึงประเมินว่า เมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ต้องใช้เงินกู้ แค่เงินปันผลก็สามารถรองรับกับดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับตํ่ากว่า 3% ได้และจะมีเงินเหลือเป็นกำไรได้ทันที”แหล่งข่าวกล่าว
ทำภารกิจเพื่อชาติ
ที่สำคัญยังเป็นภารกิจเพื่อชาติที่หวังจะให้ ADVANC เป็นธุรกิจของคนไทยเต็มตัว และออกไปผงาดในเวทีต่างประเทศ เหมือนกับที่บริษัทขนาดใหญ่ในไทยออกไปลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน หรือในกลุ่ม CLMV เช่นเดียวกับบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปใหญ่ 10 อันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม PTT, AOT, CPALL, SCC ที่สร้างรายได้ให้ประเทศแล้วยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย
ขณะที่ ADVANC ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปเป็นอันดับ 5 แต่เป็นบริษัทเดียวที่ไม่ได้ขยายการลงทุนในต่างประเทศเลย ทั้งๆที่มีศักยภาพขยายการลงทุน เพราะหลังจากกลุ่มบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นเดิม หรือชินคอร์ป ของอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตรได้ขายกิจการทั้งหมดของกลุ่มไปเมื่อปี 2549 ให้กับกองทุนเทมาเสก ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสิงเทล มูลค่ากว่า 75,000 ล้านบาท ก่อนที่สิงเทลจะมาซื้อหุ้นต่อในปี 2559 สิงเทลได้ตัดทอนศักยภาพของ ADVANC ออกไปอย่างสิ้นเชิง จากนโยบายการจ่ายเงินปันผล 100% แม้ว่าภายหลังจะลดเหลือไม่เกิน 80% ก็ตาม
“แทนที่สิงเทลในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จะใช้เงินกำไรที่ได้แต่ละปีมาเสริมศักยภาพการเป็นธุรกิจโทรคมนาคมขนาดใหญ่ของไทย ด้วยการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ แต่กลับใช้การปันผลทั้ง 100% และขนเงินออกไป แทนที่จะใช้ขีดความสามารถของ ADVANC ที่มีอยู่ให้เต็มศักยกภาพขยายการลงทุนออกไป”
ฝ่ายการเมืองหนุน
ดังนั้น ดีลการซื้อหุ้นครั้งนี้จึงได้รับแรงสนับสนุนจากทางการเมืองด้วย เพราะโทรคมนาคมเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ฝั่งการเมืองเองต้องการให้ทั้ง INTUCH และ ADVANC กลับมาเป็นสมบัติของชาติและอยู่ในมือคนไทย 100% เพราะหากธุรกิจโทรคมนาคม ยังตกอยู่ในมือของต่างชาติ ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายระบบต่างๆ รวมถึงข้อมูล ที่ ADVANC มีอยู่ เป็นฐานลูกค้าจำนวนมากจะมีความเชื่อมโยงกับความมั่นคงของประเทศด้วย เพราะก่อนที่ดีลการซื้อขายหุ้นครั้งนี้จะเกิดขึ้น ฝั่งการเมืองเองได้วางตัวนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เข้าไปนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) เพื่อเตรียมการไว้แล้ว
สะพัดประโยชน์ตอบแทน
แหล่งข่าว กล่าวเสริมว่า แม้ว่าทางสิงเทล ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 อยู่ในขณะนี้ จะแสดงเจตจำนงในการลงทุนใน INTUCH ระยะยาวและไม่ขายหุ้นออกมาในเวลานี้ก็ตาม แต่มีการประเมินกันว่า อีกไม่นาน หลังจากกระบวนการขั้นตอนการซื้อหุ้นใน INTUCH ซึ่งคาดว่าจะจบภายในเดือนกรกฎาคมแล้ว GULF เข้ามาบริหารงาน จะเป็นแรงบีบให้สิงเทลขายหุ้นออกมาในที่สุด
นอกจากฝั่งการเมืองปัจจุบันแล้ว ดีลครั้งใหญ่นี้ ยังมีการเชื่อมโยงถึงอีกฟากฝั่ง ที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตเจ้าของ INTUCH อีกด้วยว่า การเข้าซื้อหุ้น INTUCH ของ GULF ครั้งนี้ เป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่จะเป็นลักษณะการขายฝากและจะ Buy back ในอนาคต เมื่อ GULF ที่อยู่ภายใต้การกุมบังเหียนของนายสารัชถ์ รัตนาวะดี ที่ขึ้นชื่อเรื่องสายสัมพันธ์กับการเมืองทุกรัฐบาล การซื้อหุ้นครั้งนี้จึงสมประโยชน์ทุกฝ่าย
เป็นที่น่าสังเกตว่าดีลนี้เกิดขึ้นไล่ๆกับการเปิดคลับเฮ้าส์พูดคุยเรื่องวัคซีนของนายทักษิณและท่ามกลางกระแสข่าว 2 อดีตนายกรัฐมนตรี “นายทักษิณ-นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” บินมาฮ่องกง หลังไม่ได้เดินทางมานาน เสียงจึงระงมขึ้นมาว่าไปทำธุรกรรมการเงินอะไรหรือไม่ มีดีลลับอะไรกันตั้งแต่ขายชินคอร์ปออกไปในตอนต้น มีขายฝาก ซื้อฝากกันหรือไม่ ได้เวลาถ่ายโอนคืนซื้อคืนกันหรือยัง ที่จะปิดดีลซื้อขายหุ้นครั้งนี้
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,675 วันที่ 2 - 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564