นายอัครรัฐ วรรณรัตน์ Managing Director ของ MOTIF เผยถึงความสำเร็จของแบรนด์และ การสร้างผลกำไรได้โตสวนกระแสเศรษฐกิจ ประกอบด้วยหลายปัจจัย พร้อมตั้งเป้ายอดเติบโตต่อเนื่องในปี 2564
“การเติบโตของ MOTIF มีอย่างต่อเนื่อง ที่เห็นได้ชัดในปี 2559 ยอดเราโตขึ้นถึง 30% ต่อมาปี 2560 ก็ขึ้นอีก 30% ซึ่งยอดก็ถือว่าขึ้นเรื่อยๆ และแม้ว่าในปี 2561-2562 ร้านสาขาที่เอราวัณจะปิดตัวลง เพราะหมดสัญญา ร้านหายไป 1 สาขาแต่ยอดเราก็ยังโตขึ้นถึง 10% ส่วนในปี 2562 ต่อเนื่อง 2563 ภาพรวมโตขึ้น 10-15% แต่อย่างที่ทราบกันว่าเป็นปีที่เริ่มมีสถานการณ์โควิด19 เลยทำให้เหมือนเวลาหายไป 2 เดือน ซึ่งก็ถือว่ายังอยู่ในโหมดที่โตเราก็โอเค
สำหรับในปี 2564 เราตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 20-30% เพราะจากประสบการณ์การบริหารงานอย่างมืออาชีพ เรามีการตั้งรับที่ดีขึ้นลูกค้าเองก็มีการตั้งรับที่ดีขึ้น ทำให้เกิดการปรับตัวในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ทั้งผู้ซื้อผู้ขาย”
ปัจจัยในการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ MOTIF ก็เกิดจากการจัดการ Stock Management ซึ่งถือเป็นคีย์ใหญ่ที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ กลยุทธการจัดการนี้เกิดจากถ้าเรามีของแบบที่ลูกค้าต้องการในจำนวนที่เหมาะสม ก็สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ในเรื่องของเวลาและไม่มี stock คงค้างมากเกินไป ยกตัวอย่างก่อนจะเกิดสถานการณ์โควิด19 ต้องใช้เวลารอการสั่งถึง 3 เดือน ต่อมากลายเป็น 4 เดือน พอเจอโควิด19 กลายเป็น 6 เดือน การรอสินค้าสั่งใหม่ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ของเริ่มช้าเราก็เริ่มปรับเรื่อง Stock Management มาเรื่อยๆ
นายอัครรัฐ ยังเผยถึงกลยุทธทางการตลาดในปี 2564 เพิ่มเติมว่า “ในปี 2564 ผลพวงของโควิด19 ทำให้เราได้สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ด้วยการเปิดตลาดเฟอร์นิเจอร์กับเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจริงๆ ใน 5 ปีที่ผ่านมา “Dutch Design” เป็นงานดีไซน์ที่โตมากและราคาไม่ได้ถูกไปกว่าของอิตาลีเลย ที่สำคัญเขามองว่า เขาเป็นหนึ่งในผลงานออกแบบที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์มากที่สุด ทุกคนในประเทศเขาใช้ของดีไซน์ ซึ่งเขาเรียกดีไซน์ของเขาว่า “Dutch Design” ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน เราก็เลยเปิดตลาดกับเขาด้วย 5 แบรนด์ดังของ Ducth Design ซึ่งได้ติดต่อไว้ในช่วงโควิด19 ปีที่แล้ว โดยหลังจากที่เราเปิดตัวไปในเดือน มีนาคม กระแสตอบรับจากลูกค้าดีมาก”
ในส่วนของเฟอร์นิเจอร์โฮมออฟฟิศก็ยังคงตอบโจทย์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเราขยายไลน์คอลเลคชั่น ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจากเทรนด์ work from home ยังคงมาแรงมากในปี 2021 นี้และมีแนวโน้มที่จะโตขึ้นเรื่อยๆ ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ จากข้อจำกัด บริษัทได้ปรับรูปแบบการขาย สู่ช่องทางออนไลน์ ให้ความสำคัญกับ Social Media ในการทำตลาดในสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Facebook, Youtube, Line@, หรือแม้แต่ Pinterest เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า และสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน