นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC)เปิดเผยว่า บริษัมได้ดำเนินการร่วมมือกับกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ทเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (IHG) เพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตโฟลิโอ ควบคู่กับการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงช่วยเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยในการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มระดับกลางถึงระดับสูงซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตในอนาคตอันใกล้ โดยมีเป้าหมายที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานการบริการระดับสากล
ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวครอบคลุมโครงการพัฒนาโรงเเรมหรูที่เพิ่งสร้างใหม่แห่งเเรกในเยาวราชอย่าง โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก ไชน่าทาวน์ (โครงการเวิ้งนครเกษม) และอีกสองโครงการในเยาวราชและพัทยา ซึ่งมีห้องพักรวม 629 ห้อง รวมทั้งอีก 2 โรงแรมภายใต้แบรนด์คิมป์ตัน โดยAWC ยังมีความเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะมีอนาคตที่สดใสในระยะยาว จึงเดินหน้าวางกลยุทธ์การลงทุนอย่างต่อเนื่อ
“การร่วมมือกับ IHG จะเป็นการร่วมกันยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มความแข็งแกร่งในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาชื่นชมโครงการคุณภาพของประเทศไทย”
สำหรับโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก ไชน่าทาวน์ (โครงการเวิ้งนครเกษม) มีกำหนดเปิดตัวในปี พ.ศ. 2569 จะเป็นโรงเเรมหรูที่มีห้องพักจำนวน 332 ห้อง ตั้งอยู่ในโครงการมิกซ์ยูสที่มีชีวิตชีวา พร้อมเป็นจุดหมายปลายทางที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในเวิ้งนครเกษม ย่านประวัติศาสตร์เมืองเก่าของชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน โดยจะมีอีก 2 โรงเเรมบูทีค และห้องพักระยะยาวแบบมีเซอร์วิส พื้นที่รีเทล และร้านค้าปลีก 1 แห่ง ซึ่งจะเป็นร้านค้าปลีกใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ด้วยการออกแบบที่สอดรับกับภูมิทัศน์ของเมืองที่มีชีวิตชีวา พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่คัดสรรอย่างพิถีพิถัน ทำให้กลายเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ในย่านเยาวราชที่น่าจับตามอง ด้วยการผสานพลังของแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกเข้ากับความมหัศจรรย์ของวัฒนธรรมท้องถิ่น
โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เเบงค็อก ไชน่าทาวน์ แห่งนี้ จะมีห้องอาหาร 3 แห่ง บาร์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส รวมทั้งพื้นที่จัดการประชุม 8 ห้อง บนพื้นที่รวมกว่า 1,382 ตารางเมตร
อบ่างไรก็ดี ข้อตกลงดังกล่าวยังครอบคลุมโรงเเรมสไตล์บูทีคซึ่งปรับโฉมพื้นที่จากอาคารพาณิชย์สี่ชั้นแบบดั้งเดิมเป็นโรงแรมขนาด 63 ห้องพัก พร้อมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ และอีกหนึ่งแห่งเป็นห้องพักระยะยาวแบบมีเซอร์วิสจำนวน 105 ห้อง ภายใต้แบรนด์ อินเตอร์คอนดิเนนตัล เรสซิเดนซ์ ซึ่งมอบทางเลือกห้องพักทั้งแบบหนึ่ง สอง และสามเตียง ผ่านการออกแบบอย่างมีสไตล์และสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าผู้มาเยือนเมืองมรดกแห่งเอเชีย (Heritage of Asia City)
นอกจากนี้ยังรวมถึงโรงแรมอีกหนึ่งแห่งในพื้นที่พัทยา ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและมีกำหนดเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2566 ตั้งอยู่ในย่าน Aquatique ซึ่งเป็นหมุดหมายการท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์แห่งแรงของพัทยา พื้นที่ดังกล่าวจะเป็นศูนย์รวมกิจกรรมความบันเทิงและไลฟ์สไตล์อันประกอบด้วยโรงแรม ร้านค้าปลีกและร้านอาหาร และพื้นที่จัดการประชุม ด้วยห้องพักและห้องสวีท 224 ห้อง ห้องอาหาร 4 แห่ง บาร์บนชั้นดาดฟ้า สระว่ายน้ำ สปา และห้องประชุม 6 ห้องบนพื้นที่ใช้สอยกว่า 670 ตารางเมตร
นางวัลลภา กล่าวต่อไปออีกว่า โครงการเหล่านี้จะนำเสนอสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นตลอดจนส่งมอบประสบการณ์เฉพาะสุดพิเศษ ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าให้กับชุมชน สังคมองค์รวม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลังสถานการณ์โควิด-19 (Covid-19) คลี่คลาย รองรับทั้งนักธุรกิจและนักเดินทางเพื่อการพักผ่อน การร่วมมือครั้งนี้จะส่งผลให้ AWC มีห้องพักเพื่อให้บริการเพิ่มขึ้นถึง 1,109 ห้อง จากเดิม 9,027, ห้องที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 10,136 ห้องพัก
เซเรน่า ลิม รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี กลุ่มอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (IHG) กล่าวว่า อินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก ไชน่าทาวน์ จะเป็นโรงแรมในเครืออินเตอร์คอนติเนนตัลแห่งที่สามในกรุงเทพฯ และเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับเวิ้งนครเกษม หนึ่งในย่านเก่าแก่ที่สุดในเมือง ในขณะเดียวกันก็กำลังหารือร่วมกับ AWC เกี่ยวกับโรงแรมอีกสองแห่งในข้อตกลงพื้นที่กรุงเทพฯ และพัทยา โดยบริษัทวางแผนที่จะเพิ่มพอร์ตโฟลิโอในประเทศไทยเป็นสองเท่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า
"ข้อตกลงในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมืออันยาวนานระหว่าง AWC และ IHG เพื่อบริหารจัดการห้องพักมากกว่า 1,200 ห้องทั่วประเทศไทย รวมถึงโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง 306 ห้องที่จะเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2565 โดยประเทศไทยยังคงเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งสำหรับ IHG โดยมีโรงแรม 32 แห่งจาก 8 แบรนด์ในประเทศและอีก 33 แห่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการ การเซ็นสัญญาครั้งใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของบริษัทที่จะขยายพอร์ตโฟลิโอสินค้าลักชัวรีและไลฟ์สไตล์ในประเทศไทยให้เติบโต 50% รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ในทุกแบรนด์ในเครือ ภายในประเทศ"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :