ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 21มี.ค.2568 ที่ระดับ 33.73 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาท (USDTHB) อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ซึ่งในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ควรจับตา การแถลงข่าวภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ในช่วง 10.00 น. ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นผู้แถลงข่าว ทำให้เรามองว่า การแถลงข่าวดังกล่าวอาจมีประเด็นที่น่าสนใจ
เช่น รายงานยอดการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง หรือดุลการค้าที่เกินดุลกว่าคาดได้ ซึ่งหากคาดการณ์ดังกล่าวเป็นจริง ก็อาจเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง แต่เรามองว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด
เนื่องจากราคาทองคำยังมีทิศทางที่ไม่แน่นอน และเริ่มเสี่ยงเผชิญแรงขายเพิ่มเติมจากบรรดาผู้เล่นในตลาด ซึ่งหากราคาทองคำย่อตัวลงบ้าง หรืออยู่ในช่วงการพักฐาน ก็อาจกดดันให้เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ดังที่ได้เห็นในช่วงสัปดาห์นี้
โดยเราประเมินว่า เงินบาทยังพอมีโซนแนวรับแถว 33.60-33.70 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านก็อาจติดอยู่ในช่วง 33.80-33.90 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราเห็นความต้องการทยอยขายเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่บ้างในช่วงนี้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-33.85 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.69-33.83 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
หนุนโดยการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินฝั่งยุโรป อย่างเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.50% ตามคาด ทว่า BOE ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง จากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ที่ระดับ 2.23 แสนราย และดัชนีภาคการผลิตโดย เฟด สาขา Philadelphia ที่สูงขึ้นแตะระดับ 12.5 จุด
นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาทองคำ (XAUUSD) ก่อนที่เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงรอทยอยขายเงินดอลลาร์
อีกทั้ง รายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Indicator) โดย Conference Board ก็ปรับตัวลดลง -0.3% แย่กว่าที่ตลาดคาด และทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ กดดันให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็สามารถรีบาวด์กลับมาแกว่งตัวแถวโซน 3,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลับมาร้อนแรงขึ้น
บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ชะลอการเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังในการประชุม FOMC ของเฟดล่าสุด เฟดได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจและย้ำว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
สอดคล้องกับคำเตือนของบรรดาธนาคารกลางหลักอื่นๆ ทั้ง BOE และ ECB ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.22%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.43% ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังบรรดาธนาคารกลางหลัก ไม่ว่าจะเฟด BOE และ ECB ต่างแสดงความกังวลว่า
การดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ได้ทำให้ทิศทางเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทหารที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า อาทิ Rheinmetall -3.2%
ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยรวมยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 4.26% แม้ว่าจะมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง สู่เข้าใกล้ระดับ 4.17% ตามภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน
ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถปรับตัวลงต่อเนื่องได้ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มทยอยขายทำกำไรการถือครองบอนด์ออกมาบ้าง ในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวลง
อีกทั้ง ราคาน้ำมันดิบก็ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรง ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมและปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง ในลักษณะ Sideways Down โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของสกุลเงินฝั่งยุโรป และแรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด แต่เงินดอลลาร์ก็ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งถูกตอกย้ำด้วยรายงานดัชนีชี้นำ (Leading Indicator) ล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าคาด
ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 103.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.7-104.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินโดยรวม และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึง สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ร้อนแรงขึ้น อีกทั้งจังหวะย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) สามารถทยอยรีบาวด์ขึ้น กลับสู่โซน 3,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งไทย เรามองว่า ควรติดตามรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports and Imports) ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นผู้แถลงข่าว ทำให้น่าติดตามว่า อาจมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศและแนวโน้มในอนาคตในการแถลงข่าวครั้งนี้ได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.80-33.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชียอื่น ๆ และการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกตามแรงขายเพื่อทำกำไร สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังคงได้รับอานิสงส์จากสัญญาณไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยของเฟด (แม้จะมีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงมาในการประชุม FOMC รอบที่ผ่านมาก็ตาม) ขณะที่ตลาดรอติดตามประเด็นเกี่ยวกับ tariff ของสหรัฐฯ และตัวเลขเงินเฟ้อ PCE/Core PCE ในสัปดาห์หน้าอย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.65-33.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนก.พ. ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก สัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ประเด็นเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้าสำคัญ และสถานการณ์เงินหยวน