สวนดุสิตโพลแนะรัฐเร่งสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยเร็ว

09 พ.ค. 2564 | 03:49 น.
อัปเดตล่าสุด :09 พ.ค. 2564 | 11:04 น.

สวนดุสิตโพลแนะรัฐเร่งสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยเร็ว เผยผลสำรวจ คนไทยกับการเอาชนะโควิด-19 2564 พบว่าทางรอดครั้งนี้ “ฉีดวัคซีน มีเพียง 45.24% - ประชาชนต้องดูแลตนเอง

สวนดุสิตโพลแนะรัฐเร่งสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยเร็ว เผยผลสำรวจ  คนไทยกับการเอาชนะโควิด-192564 พบว่าทางรอดครั้งนี้ “ฉีดวัคซีน มีเพียง 45.24% เท่านั้น- ประชาชนต้องดูแลตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มอ่อนไหว เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก หญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีโรคประจำตัว

 

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุผลสำรวจ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณี “คนไทยกับการเอาชนะโควิด-19” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,894 คน สำรวจวันที่ 3 – 7 พฤษภาคม 2564 พบว่า ประชาชนคิดว่าตนเองอยู่ในกลุ่มปกติทั่วไป ร้อยละ 41.55 รองลงมาคืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ร้อยละ 22.18 เมื่อติดตามข่าวรู้สึกวิตกกังวลและเครียดมากขึ้น ร้อยละ 46.04 ตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 หมดค่าใช้จ่ายไปกับหน้ากากอนามัยมากที่สุด ร้อยละ 83.94 โดยจะรับมือด้วยการไม่ไปในที่เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ร้อยละ 83.32 และจะใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง ร้อยละ 92.12 จากความวิตกกังวลของคนไทยที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข่าวสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้น รวมถึงการรับมือของรัฐบาลที่ค่อนข้างล่าช้า ประชาชนจึงต้องพึ่งตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัย ไม่ไปในที่เสี่ยงและล้างมือบ่อย ๆ นอกจากนี้ผลโพลยังพบว่า มีผู้ที่ตอบว่าสิ่งที่จะทำให้อยู่รอดจากโควิด-19 คือ การฉีดวัคซีน มีเพียงร้อยละ 45.24 เท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นการเอาชนะโควิด-19 คงเป็นเรื่องยากอย่างแน่นอน

ด้าน “นิรัตน์ชฎา ไชยงาม”  อาจารย์ประจำสาขาการพยาบาล มารดา ทารกและการผดุงครรภ์  คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุ โควิด-19 เป็นโรคที่ท าลายวิถีชีวิตการเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง จากผลโพลจะเห็นว่าการระบาด ในระลอกที่ 3 นี้ ประชาชนมีความเข้าใจและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัดเมื่อไปในที่สาธารณะ แต่ขณะอยู่บ้านยังละเลยกันอยู่มากเนื่องจากคิดว่าเป็นสถานที่ปลอดภัย จึงพบการติดเชื้อภายในครอบครัวมากขึ้น ทำให้ประชาชน ที่ติดตามข่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดส่วนใหญ่เกิดความเครียดและความวิตกกังวล เนื่องจากแนวโน้มผู้ติดเชื้อและ

ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นการตรวจวินิจฉัย และการรับผู้ป่วยเข้ารักษายังมีความล่าช้า อีกทั้งบุคลากรทางการแพทย์และทรัพยากรมีจำกัด ทางรอดของสถานการณ์โควิด-19 ในครั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ประชาชนต้องดูแลตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มอ่อนไหว เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก หญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีโรคประจำตัว ภาครัฐต้องมีมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาอย่างชัดเจน รวดเร็วและรัดกุม อีกทั้งต้องจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ หลากหลาย ให้แก่ประชาชนโดยเร็วที่สุด