สัมภาษณ์
จากที่บริษัท เวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด ผู้จัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติในภูมิภาคตะวัน ออกกลาง และแอฟริกา ได้จับมือกับดิยาร์ อัลมูฮาร์รัค หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในประเทศบาห์เรนในการจัดตั้งไทยมาร์ต (THAIMART) เพื่อเป็นช่องทางให้กับสินค้าและบริการจากประเทศไทยในการเจาะตลาดตะวันออกกลางเป็นแห่งแรก ณ กรุงมานามา เมืองหลวงของราชอาณาจักรบาห์เรนนั้น
รายใหญ่-ย่อยแห่จองที่
นายอัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเวก้าฯ เผยในการให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความคืบหน้าล่าสุดว่า ขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างการเร่งดำเนินการก่อสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมที่กำหนด(ภาพประกอบ) คาดจะแล้วเสร็จและมีเป้าหมายเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการ (Soft Opening) ในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 ทั้งนี้หลังจากที่ทางกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ของไทยได้ช่วยเจรจากับทางรัฐบาลบาห์เรนในเรื่องสิทธิประโยชน์สำหรับภาคธุรกิจของไทยจนประสบความสำเร็จ โดยทางกระทรวงพาณิชย์ของบาห์เรนได้ออกหนังสืออนุมัติให้คนไทยสามารถถือหุ้นได้ 100% ในบริษัทหรือธุรกิจที่ไปเปิดดำเนินกิจการในไทยมาร์ต ส่งผลให้โครงการได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจของไทยที่บินไปดูโครงการและพร้อมจะเข้าไปดำเนินธุรกิจในไทยมาร์ตเป็นจำนวนมาก
อัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์
“ตัวอย่างเช่น ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว, ชาพะยอม Solotto Coffee, BIOFORM, Moon Whisper, Siam Merit Plus จะเข้าไปเปิดในโครงการ มีเฌอเอมจะไปเปิดสาขาร้านสมุนไพรไทย นอกจากนี้โครง การได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้เกิดไทยเมดิคัล ฮับ ทั้งแพทย์แผนไทย และแผนปัจจุบัน ซึ่งมีกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนหลายรายที่จะเปิดให้บริการด้านการแพทย์และสุขภาพ รวมถึงใช้เป็นหน้าร้านหรือสถานที่ติดต่อเพื่อนำผู้ป่วยมารักษาที่เมืองไทย เช่น โรงพยาบาลพญาไท 2, เปาโล, บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล, ปิยะเวท, บำรุงราษฎร์ เป็นต้น”
ขณะที่โครงการยังได้เซ็นเอ็มโอยูกับสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เพื่อใช้เป็นช่องทางให้กับผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีของไทยเจาะตลาดบาห์เรน และตะวันออกกลางที่ถือเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง และยังได้นำเสนอแผนให้กับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับของไทย มุ่งเน้นพลอยสีที่ได้รับความนิยมมากในตะวันออกกลางให้ไปเปิดเป็นโซนศูนย์การค้าพลอยสีของไทยในไทยมาร์ต และใช้ขยายตลาดตะวันออกกลางต่อไป
“ในภาพรวมเวลานี้มีผู้ประกอบการสินค้าและบริการของไทยได้ตกลงที่จะไปเปิดในไทยมาร์ตแล้วคิดเป็นสัดส่วน 60% ของพื้นที่ โดยตึกโครงการจะมี 2 ชั้น พื้นที่รวมกว่า 6,700 ตารางเมตร โดยคาดหวังก่อนซอฟต์ โอเพนนิ่ง จะมีผู้ประกอบการของไทยไปเช่าไม่ตํ่ากว่า 70% ของพื้นที่ ขณะเดียวกันเมื่อโครงการแล้วเสร็จแล้ว ในส่วนของพื้นที่ด้านนอกอาคารจะเปิดให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสถาบันการศึกษาของไทยไปจัดอีเวนต์เพื่อสร้างรายได้ด้วย โดยโครงการนี้คาดหวังจะช่วยดึงเงินเข้าประเทศไทยเป็นหลักพัน หลักหมื่นล้านบาทในอนาคต”
สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ (อดีต รมว.พาณิชย์)ผู้มีส่วนในการสนับสนุน เข้าเยี่ยมชมความคืบหน้าโครงการ
ต่อยอดค้าออนไลน์
ทั้งนี้ไทยมาร์ตจะเป็นทั้งตลาดค้าปลีก และเป็นโชว์รูมให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ และสามารถต่อยอดทำธุรกิจค้าส่งไปยังหัวเมืองต่างๆ ของซาอุฯได้ เช่นในธุรกิจอัญมณีที่ซาอุฯมีร้านจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 6,000 ร้าน นอกจากนี้ยังสามารถทำการค้าออนไลน์ที่เป็นเทรนด์ของการค้ายุคใหม่ได้ โดยล่าสุดทางไทยมาร์ตได้จับมือกับบริษัทค้าออนไลน์ชั้นนำของบาห์เรน และตะวันออกกลาง 3 รายได้แก่ Talabat, Homiez และ Carriage โดยจะไปตั้งร้านและนำโลโกไทยมาร์ตไปอยู่ในแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการค้าออนไลน์ ซึ่งลูกค้าสามารถเข้ามาชมและช้อปซื้อสินค้าในไทยมาร์ตผ่านออนไลน์ได้ โดยไทยมาร์ตจะช่วยการันตีคุณภาพสินค้า หากได้สินค้าไม่ตรงที่สั่ง หรือชำรุดเสียหายสามารถนำมาเคลมหรือเปลี่ยนได้
นายอัครวุฒิ กล่าวอีกว่า ไทยมาร์ตถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย เพราะลงทุนไม่มาก แต่จะได้รับผลตอบแทนสูง โดยทางโครงการคิดค่าเช่าขนาดต่อ 17 ตารางเมตร ประมาณ 7 หมื่นบาทต่อเดือน สัญญาเช่า 3 ปี โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการนอกจากชาวบาห์เรนและชาวต่างชาติในบาห์เรนแล้ว เป้าหมายหลักคือ ชาวซาอุดีอาระเบียที่มีประชากรกว่า 30 ล้านคน มากสุดในตะวันออก กลาง มีกำลังซื้อสูงและนิยมข้ามพรมแดนมาซื้อสินค้าและบริการในบาห์เรน ขณะที่ผ่านมาสินค้าและบริการของไทยได้รับความนิยมในซาอุฯ ดังนั้นการมาเสิร์ฟสินค้าและบริการถึงที่จะเป็นการช่วยอำนวยความสะดวก และหวังจะเป็นกาวใจช่วยฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯให้ดีขึ้นตามลำดับด้วย
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,484 วันที่ 4-6 กรกฎาคม 2562