“BGRIM” กำไร 1.24 พันล้านบาทไตรมาส 3/63

12 พ.ย. 2563 | 01:55 น.
อัปเดตล่าสุด :12 พ.ย. 2563 | 09:03 น.

“บี.กริม” เผยผลประกอบการไตรมาส 3/63 มีกำไร 1.24 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน

นางปรียนาถ  สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2563 มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.24 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นส่วนของบริษัทใหญ่ที่ 745 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของกำลังการผลิตไฟฟ้าจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในอัตราถึง 28% จากไตรมาสก่อนหน้า การปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลักดัน EBITDA Margin สู่ระดับสูงสุดที่ 30.4% 

                ทั้งนี้ BGRIM มีการกู้เงินสกุลต่างประเทศเพื่อป้องกันความเสี่ยงในส่วนของรายได้สกุลต่างประเทศ (natural hedge) ทำให้ในช่วงไตรมาส 3/2563 เกิดรายการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยน 310 ล้านบาท เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดีรายการดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่ไม่กระทบกระแสเงินสด และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 859 ล้านบาท โดยเป็นส่วนของบริษัทใหญ่ที่ 501 ล้านบาท 

                อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปี คาดปริมาณการขายไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมนั้นได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นได้มีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญต่อเนื่องมาโดยตลอด และกลับสู่ภาวะปกติในเดือนกันยายน-ตุลาคม ด้วยปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมที่กลับมาอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนต่อเนื่องมา 2 เดือนแล้ว อันเป็นการฟื้นตัวจากทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

“BGRIM” กำไร 1.24 พันล้านบาทไตรมาส 3/63

                โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์และโรงงานผลิตยางรถยนต์ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของความต้องการภายในประเทศ รวมถึงจากการย้ายคำสั่งผลิตจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักของโรคโควิด-19 (Covid-19)ขณะเดียวกันกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงเติบโตตลอดช่วง 9 เดือนในปี 2563 ด้วยปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16% และ 12% ตามลำดับ นอกจากนี้แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติยังเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม โดยในไตรมาสสุดท้ายของปีตามประมาณการของ ปตท. คาดจะมีราคาลดลงอีกราว 6-7% จากไตรมาส 3/2563

สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ray Power ในประเทศกัมพูชา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 39 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบ่อทอง วินด์ฟาร์ม 1&2 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 16 เมกะวัตต์ มีความคืบหน้าตามแผน มีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในไตรมาส 4/2563 ถึงไตรมาส 1/2564

                นอกจากนี้ยังเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 7 โครงการ กำลังการผลิตรวม 980 เมกะวัตต์ มีกำหนดการ COD ในปี 2565-2566 ตามแผนที่วางไว้ มั่นใจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตั้งเป้าการมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาการซื้อไฟฟ้าที่ 7.2 กิ๊กกะวัตต์ ภายในปี 68 

                นางปรียนาถ กล่าวต่อไปอีกว่า สถานะทางการเงินของบี.กริม เพาเวอร์ ยังคงแข็งแกร่งด้วยเงินสดในมือกว่า 2 หมื่นล้านบาท มีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว 47 โครงการ มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับต่ำ 1.3 เท่า และได้รับการสนับสนุนจากหลายสถาบันการเงิน ซึ่งเพียงพอในการพัฒนาโครงการที่อยู่ในแผนทั้งหมด 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

“BGRIM” คว้า 5 รางวัล "The Asian Excellence Awards 2020"

“BGRIM” คว้าเงินกู้สีเขียว 5.67 พันล้านจาก “เอดีบี” รายแรกในภูมิภาค

“BGRIM” ทุ่ม 4 หมื่นล้านสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อการอุตสาหกรรม 980 เมกะวัตต์