กพอ.เผยยอดขอรับส่งเสริมลงทุนในอีอีซี 11 เดือน หดตัว 7 หมื่นล้าน เหตุล็อกดาวน์ประเทศ

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(กพอ.) หรือบอร์ดอีอีซี มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบถึงสถานการณ์การลงทุนช่วง 11 เดือน(ม.ค.-พ.ย. 63) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี มีผู้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน ทั้งสิ้น 387 โครงการ มูลค่าลงทุนสูงถึง 1.28 แสนล้านบาท คิดเป็น 41 % ของยอดการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ

ทั้งนี้ เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ 76,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และปิโตรเคมี โดยนักลงทุนที่สนใจจะลงทุน ซึ่งการชักชวนนักลงทุนต่อไป ขณะนี้บีโอไอได้ประสานกระทรวงต่างประเทศ ทดลองผ่อนผันการกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศ เพื่อความสะดวกและเป็นแรงจูงใจ ให้กับนักลงทุนในการเข้ามาลงทุนในอีอีซี

“การยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ก็ยังมีนักลงทุนสนใจยื่นขอรับส่งเสริม แต่ก็ต้องยอมรับว่าลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุน  415 โครงการ เงินลงทุน 1.99 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่าการลงทุนในปี 2564 จะดีขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย และการผ่อนคลายในการเปิดประเทศ”

                                       นายคณิศ แสงสุพรรณ

นายคณิศ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กพอ.ยังได้รับทราบ และพิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงข่าย 5G และโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) โดยที่ประชุมได้พิจารณา แนวทางการดำเนินงานผลักดันการใช้ประโยชน์จาก 5G ให้เกิดการลงทุนพัฒนาระบบ 5G ในพื้นที่อีอีซี โดยมีแนวทาง จะสร้างผู้ใช้ 5G อย่างเป็นระบบ ผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐใช้เทคโนโลยี 5G ในโรงงานทั้งหมดในพื้นที่เขตส่งเสริมอีอีซี ประมาณ 10,000 แห่ง โรงแรมทั้งหมดในอีอีซี ประมาณ 300 แห่ง หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่มเอสเอ็มอี โดยได้จัดทำโครงการนำร่องพัฒนาระบบ 5G เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชน เริ่มตั้งแต่ บริเวณฐานทัพเรือสัตหีบ เสริมความมั่นคง สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน เสริมโครงสร้างพื้นฐาน นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เสริมประสิทธิภาพอุตสาหกรรม และอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อให้ชุมชนได้เริ่มทดลองใช้ระบบ 5G

รวมทั้งเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูล ผลักดันให้ภาคเอกชนและภาครัฐ จัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ในพื้นที่ อีอีซี โดยให้ EECd เป็นจุดติดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) พร้อมทั้ง วางแนวทางและปรับข้อกฎหมาย นำข้อมูลคลาวด์ภาครัฐ และคลาวด์ภาคเอกชน เฉพาะข้อมูลที่เปิดเผยได้มาจัดทำข้อมูลกลาง เพื่อธุรกิจในอนาคต (Common Data Lake) เพื่อให้ภาคธุรกิจ และกลุ่มสตาร์ทอัพ นำข้อมูลดังกล่าวไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจ เช่น E-Commerce การท่องเที่ยว สาธารณสุข และการแพทย์

นอกจากนี้ เร่งพัฒนาบุคลากรดิจิทัล ผลักดันเอกชนให้เข้ามาร่วมลงทุนการพัฒนาคน โดยเน้นผลิตบุคลากรที่มีทักษะตามความต้องการของเอกชน (Up-Re-New) จำนวน 100,000 คน

รวมถึงการปรับแนวทางการดำเนินโครงการ EECd ให้เป็นกลไกหลักเพื่อขับเคลื่อนพัฒนาโครงข่าย 5G ซึ่งวิธีการพัฒนาจะเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานที่มีประสบการณ์ จัดตั้งเขตนวัตกรรมดิจิทัลในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน จีน และสหภาพยุโรป โดย สกพอ. เป็นเจ้าภาพ

ขณะเดียวกัน กพอ.ยังรับทราบถึงความก้าวหน้าพัฒนาแผนเกษตรในอีอีซี ยกระดับภาคการเกษตรให้มีรายได้ ใกล้เคียงภาคอุตสาหกรรมโดยแผนเกษตรในอีอีซี จะใช้ความต้องการตลาดนำ (Demand Pull) เน้นเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร พัฒนาสินค้าตรงความต้องการ ใช้เทคโนโลยีสร้างรายได้ (Technology Push) ให้สินค้าเกษตร มีคุณภาพดี ราคาสูง ให้ความสำคัญ 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ ผลไม้ ประมงเพาะเลี้ยง พืชชีวภาพ พืชสมุนไพร ปศุสัตว์ เพื่อยกระดับการผลิตตรงความต้องการ เพิ่มมูลค่า สร้างรายได้เกษตรกรอย่างยั่งยืน และมอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้แผนฯ เป็นกรอบในการขอรับงบประมาณปี 2565 เป้าหมายหลัก เพื่อต้องการยกระดับภาคเกษตร ใช้เทคโนโลยีนำการผลิต สินค้าตรงตามความต้องการของตลาด เพิ่มรายได้ภาคเกษตร ใกล้เคียงภาคอุตสาหกรรม