วัดกึ๋นเจน2 ‘ส.ขอนแก่น’ อาหารไทยโกอินเตอร์

      เจน 2 “ส.ขอนแก่น” เดินหน้าพลิกโฉมธุรกิจ ลบภาพสินค้าพื้นเมืองสูอาหารไทยอินเตอร์ จับมือดีไซเนอร์ปรับภาพลักษณ์ โลโก แพ็กเกจจิ้งใหม่หมดจด ชู 3 คีย์ซักเซส “แบรนด์-คุณภาพ-ราคา” หวังดันยอดขายเติบโตทะลุ 6,000 ล้านบาทใน 3 ปี

      การแข่งขันในธุรกิจอาหารเมืองไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมาเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลพวงจากผู้เล่นที่มีจำนวนมากขึ้น ทำให้เห็นการปรับกลยุทธ์ การนำเสนอรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาบริหาร และหนึ่งในธุรกิจที่น่าจับตาคือ “ส.ขอนแก่น” ที่วันนี้ได้ 2 ทายาท “จรัญพจน์ รุจิราโสภณ” กับตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและการขาย และ “จรัสภล รุจิราโสภณ” ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่สายงาน QSR และ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสื่อสารการตลาด มารับช่วงต่อ

นโยบายหลังเปลี่ยนมือสู่เจนใหม่

      “จรัญพจน์ รุจิราโสภณ” รักษาการประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและการขาย บริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SORKON กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจอาหารในเมืองไทยรุนแรงมากจากผู้เล่นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการรายย่อย, SMEs, สตาร์ตอัพ,บิ๊กเนม หรือแม้กระทั่งสินค้าจากต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาจำนวนมาก ดังนั้นบริษัทจึงมองหาการสร้างการเติบโตแก่บริษัทอย่างยั่งยืน ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในท้องตลาด โดยบริษัทจะให้ความสำคัญใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. การสร้างเอกลักษณ์ของ ส.ขอนแก่นให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 2. การพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ 3. ราคาที่เข้าถึงได้ และแน่นอนว่าทั้ง 3 ส่วนจะเกิดขึ้นได้ใช้ทั้งบุคลากรที่มีความสามารถ เทคโนโลยีที่ดี (Work Hard,Work Technology) โดยช่วงที่ผ่านมามีการปรับโครงสร้างบุคลากรภายในให้มีความพร้อม หลังจากปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนถ่ายบุคลากรใหม่ 70-80%

นอกจากนี้บริษัทให้ความสำคัญกับ 1.การสร้างตลาด Meet  Snack ให้เกิดขึ้นและเติบโตในเมืองไทยให้ได้ เพื่อสร้างทางเลือกในตลาดสแน็คนอกเหนือจากกลุ่มมันฝรั่ง สาหร่าย และปลา ซึ่งสินค้ากลุ่มสแน็กจากเนื้อสัตว์นี้จะเห็นได้มากในตลาดอเมริกา ญี่ปุ่น พอมาย้อนดูในไทยกลับไม่ค่อยพบสินค้าที่เป็นมีต แสน็กทั้งเชลฟ์ จึงมีแนวคิดในการทำ โดยได้เปิดตัวสแน็ก 2 รายการแรกในนามแบรนด์ “ส.สแน็ค” เพื่อรุกตลาดขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพเริ่มวางจำหน่ายภายในเดือนสิงหาคมนี้ ตั้งเป้ายอดขาย 30 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ ก่อนเล็งส่งสินค้าออกจำหน่ายต่างประเทศในปี 2563

      2.การผลักดันให้สร้างช่องทางการจำหน่ายของตัวเองให้ได้ เนื่องจากปัจจุบันแบรนด์สินค้าของส.ขอนแก่นอยู่ติดกับโมเดิร์นเทรดจนเกินไป ซึ่งเทรนด์ในอนาคตใครที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ถือว่าเป็นผู้ชนะในทางธุรกิจ เนื่องจากจะได้ บิ๊กดาต้า ของลูกค้าพฤติกรรมต่างๆ ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทจะต้องสร้างการเข้าถึงหรือติดผู้บริโภคให้ได้ โดยบริษัทมีแผนโดยเตรียมเปิดช่องทางอี-คอมเมิร์ซของ “ส.ขอนแก่น” และ เตรียมเปิดร้าน “ส.ขอนแก่น” ในรูปแบบช็อปปีหน้า 3.การไดรฟ์โอเปอเรชันของบริษัทที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสิร์ฟช่องทางโมเดิร์นเทรด อาทิ เซเว่นอีเลฟเว่นให้เร็วขึ้น การเจาะช่องทางตลาดสดให้มากขึ้นซึ่งเป็นส่วนของกลุ่มสินค้าโฮลเซล

      นอกจากนี้ยังได้จับมือกับดีไซเนอร์ชื่อดังในการดีไซน์/ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ทั้งโลโกแพ็กเกจจิ้ง ให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อลบภาพสินค้าของฝากพื้นเมือง สู่ภาพลักษณ์ใหม่ความเป็นแบรนด์อาหารไทยที่ทันสมัยดีไซน์จะต้องเพิ่มขีดจำกัดในการแข่งขันบนโจทย์ที่ว่า ใช้ความเป็นไทยในการสร้างแรงบันดาลใจและเอกลักษณ์การขาย วางจำหน่ายในช่องทางใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์ บนชั้นวางสแน็ก ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าเจนใหม่ได้มากขึ้นเป็นล้านๆ ราย โดยตัวแพ็กเกจจิ้งใหม่จะเปิดตัวปลายปีนี้ ขณะเดียวกันยังเริ่มการศึกษาและเตรียมจัดทำโลโกใหม่ควบคู่ไปด้วย โดยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในสิ้นปีนี้เช่นกัน

สู่ภาพลักษณ์ใหม่“อาหารไทยอินเตอร์”

      ด้านนายจรัสภล รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงาน QSR และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสื่อสารการตลาด กล่าวว่า การปรับภาพลักษณ์สินค้าดังกล่าวจากเดิมที่เป็นของแห้งหรือของฝาก มาปรับปรุงขนาด รสชาติ บรรจุภัณฑ์ ในราคาที่เหมาะและหันมาวางจำหน่ายในเชลฟ์สแน็กเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสเข้าถึงแบรนด์มากขึ้นนั่นคือโจทย์ในการพัฒนาสินค้าเพื่อขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยจะโฟกัสตลาดในไทยเป็นหลักก่อน ซึ่งกลยุทธ์หลักในการทำตลาดจะโฟกัสไปยังกลุ่ม Meet Snack และการมีช่องทางการจำหน่ายเป็นของตัวเอง ขณะที่ในกลุ่มของสดก็ได้มีการปรับปรุงพัฒนาสินค้าจากเดิมที่ในอดีตจะเป็นการซื้อแบบวัตถุดิบสดๆ เพื่อไปปรุงเป็นอาหารที่บ้านเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่และสร้างความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้ามากขึ้น

      “นอกจากนี้เรายังมีการบริหารจัดการต้นทุนด้วยการวางสินค้ากลยุทธ์และตัวเรือธงหลักที่โรงงานต้องทำสินค้าที่ทำได้ดีก็จะผลิตเอง เช่น แหนม หมูยอ ลูกชิ้น หมูแผ่น ที่เรามีเครื่องจักรที่ทันสมัยที่สุดในโลกในการผลิต ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ใดหากไม่สามารถทำได้ดีหรือบริหารจัดการต้นทุนได้ไม่ดีนักก็จะ OEM ออกไปร่วมกับพาร์ตเนอร์ ซึ่งทำให้ไม่ต้องลงทุนกับการผลิตสินค้านั้นๆ มาก แต่จะหันมาลงทุนในส่วนของ R&D และ QC เบื้องต้นสินค้าที่จะส่งไปOEM อยู่ระหว่างการพิจารณาสินค้า”

      อย่างไรก็ตามบริษัทวางเป้าหมายในช่วง 3 ปีนับจากนี้ (2563-2565) จะมียอดขาย 6,000 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปีก่อนที่มียอดขาย 3,000 ล้านบาท โดยมาจากสินค้าพื้นเมือง 1,200 ล้านบาท และอื่นๆ 1,800 ล้านบาท 

หน้า 32 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3475 ระหว่างวันที่ 2-5 มิถุนายน 2562