นางสาวสุจิตตา ทองอินทร์ ผู้บริหาร บริษัท ดีมาฟูดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป แบรนด์ “กิโลทอง” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลยุทธ์ในการขยายตลาด เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าและรายได้ของบริษัทในระยะถัดไปนั้น จะมุ่งเน้นการเข้าทำตลาดผ่านร้านขายอาหารทั่วไปในประเทศ พร้อมทั้งขยายช่องทางการจำหน่ายไปยังบิ๊กซี, โลตัส และแม็คโคร ให้ได้ทุกผลิตภัณฑ์ จากเดิมที่มีผลิตภัณฑ์เพียงบางประเภทเท่านั้นที่วางจำหน่ายอยู่ในช่องทางดังกล่าว และฟู้ดแลนด์
ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพบนช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันมีการดำเนินการผ่านทางเฟซบุ๊ก, เว็บไซต์ และไลน์แอด (Line@) เนื่องจากเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความนิยม และยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบ คลุม โดยที่มีต้นทุนในการดำเนินการไม่มากเท่าใดนัก ซึ่งอาจจะเป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ พร้อมกับจัดโปรโมชันส่งเสริมการจำหน่ายให้เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ออร์เดอร์ผ่านช่องทางดังกล่าวจะเป็นผู้ประกอบการร้านอาหาร และโรงแรมเป็นหลัก
ขณะที่กลยุทธ์การทำตลาดต่อเนื่องในปี 2563 บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการสั่งซื้อ และดัดแปลงรถจักรยานยนต์ให้เป็นรถพ่วง เพื่อทำเป็นหน่วยรถจำหน่ายผลิตภัณฑ์เคลื่อนที่ไปยังอำเภอต่างๆ ของจังหวัดศรีสะเกษ และพื้นที่ละแวกใกล้เคียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสม โดยเชื่อว่าจะเป็นช่องทางในการกระจายการรับรู้ไปยังชุมชนต่างๆ ให้ได้รู้จักแบรนด์มากขึ้น หลังจากนั้นก็จะดำเนินการต่อยอดไปสู่จังหวัดต่างๆ เช่น อุบลราชธานี โดยจัดตั้งเป็นศูนย์ประจำแต่ละจังหวัด จากเดิมที่บริษัทจะมีรถปิกอัพประมาณ 9 คันให้บริการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรืออีสาน
ด้านตลาดต่างประเทศนั้น ล่าสุดมีผลิตภัณฑ์ของบริษัทส่งออกไปจำหน่ายแล้วหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยเป็นการดำเนินการผ่านบริษัทผู้ส่งออกทั้งหมด ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะปรับกลยุทธ์ทางด้านส่งออกให้บริษัทเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยล่าสุดกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเรื่องของบุคลากร, ภาษา และเอกสารสำคัญที่จะต้องใช้ ขณะที่เรื่องของคุณภาพ และการรับรองมาตรฐานต่างๆผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับการยอมรับอยู่แล้วจากต่างประเทศ
“ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ทั้งหมดของบริษัทจะแบ่งเป็นการส่งออก 80% และจำหน่ายภายในประเทศ 20% โดยมีผลิตภัณฑ์หลักประกอบด้วย หอมเจียว, กะเทียมเจียว, พริกเผา, พริกผัดนํ้ามันหอมเจียว และนํ้ามันนํ้าพริกเผา เป็นต้น โดยหอมเจียวมียอดเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี”
นางสาวสุจิตตา กล่าวต่อไปอีกว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ของปีนี้ไว้ที่ 100 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีรายได้แล้วประมาณ 48 ล้านบาท และรายได้จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 ล้านบาทในปี 2563 จากกลยุทธ์การทำตลาดที่บริษัทวางแผนเอาไว้ ด้านจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์กิโลทอง อยู่ที่การคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากความได้เปรียบที่บริษัทตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งเพาะปลูกหอมแดงมากที่สุดในประเทศที่อำเภอยางชุมน้อย
อีกทั้งยังมีขั้นตอนการผลิตที่ไม่เหมือนผู้ผลิตรายใดในตลาด เช่น หอมเจียว ที่จะมีขั้นตอนการผลิตถึง 9 ขั้นตอน โดยหอมเจียวที่ทำตลาดส่งออกจะเป็นแบบ 100% ไม่มีการผสมแป้ง ขณะที่รสชาติก็จะมีความแตกต่าง ซึ่งบริษัทใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนา (R&D) ประมาณ 1-2 ปี กว่าจะสามารถทำได้ โดยบริษัทต้องใช้หอมแดงประมาณ 4.7-5.2 กิโลกรัมเพื่อให้ได้หอมเจียว 1 กิโลกรัม
“หลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จของตนนั้นตนจะไม่ได้มุ่งเน้นการมองทุกอย่างให้กลายเป็นธุรกิจมากจนเกินไป แต่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดงให้มีรายได้มากขึ้นด้วยการแปรรูป จากปัญหาราคาที่ตกตํ่าจากผลผลิตที่ล้นเกินความต้องการ หลังจากนั้นรายได้ของธุรกิจก็จะตามมาเอง โดยปัจจุบันบริษัทมีการใช้หอมแดงสดประมาณ 50,000 กิโลกรัมต่อวัน”
หน้า 8 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3526 วันที่ 28-30 พฤศจิกายน 2562