วันนี้ (9 มี.ค.64) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวผลการดำเนินงาน 20 ปี ศาลปกครอง นายจำกัด ชุมพลวงศ์ รองโฆษกศาลปกครอง กล่าวชี้แจงกรณีรัฐบาลล้มประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่มีการฟ้องคดีอยู่ในศาลปกครอง ว่า คดีนี้ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนประกาศหลักเกณฑ์การประมูลใหม่ หลัง รฟม.มีการเปิดประมูลไปแล้ว ซึ่งเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีในประเด็นที่ บมจ.บีทีเอสซี ขอให้เพิกถอนประกาศหลักเกณฑ์การประมูลใหม่ดังกล่าว
เพราะหมดเหตุที่ศาลจะต้องวินิจฉัย เนื่องจากรัฐบาลได้มีการยกเลิกการประมูลและเปิดการประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าดังกล่าวใหม่ แต่ยังเหลือประเด็นที่ศาลต้องพิจารณาต่อไป คือ กรณี บมจ.บีทีเอสซี ขอให้ศาลสั่งให้ รฟม.ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 500,000 บาท จากการจ้างที่ปรึกษาทางด้านเทคนิคในการยื่นประมูลโครงการดังกล่าว เท่านั้น
+ ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลยึดคดีไทยทีวี ฟ้องขอคืนค่าสัมปทานจากกสทช.ไม่ได้
ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ กสทช.คืนเงินค่าใบอนุญาตสัมปทานทีวีดิจิตอลให้กับบริษัท ไทยทีวี จำกัด หลังยกเลิกสัญญาสัมปทาน แม้เหตุผลที่ศาลใช้ประกอบการพิพากษาดังกล่าว มาจากปัญหาการบริหารจัดการที่ไม่พร้อมของ กสทช. ในเวลานั้น ซึ่งผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลในปัจจุบันคงไม่สามารถนำมาเป็นเหตุในการฟ้องขณะนี้ เพื่อขอคืนค่าสัมปทานเหมือนกรณีบริษัท ไทยทีวี จำกัด ได้ เพราะหากมีการฟ้อง ศาลก็ต้องพิจารณาเงื่อนไขในการรับความเดือดร้อนเสียหาย รวมทั้งปัจจุบัน ก็มีคำสั่ง หัวหน้า คสช. ที่ให้ผู้ประกอบการสามารถคืนสัมปทานได้ โดยได้รับเงินชดเชย
+ แจงปมคำพิพากษาคดีกระเหรี่ยงบางกลอย แค่วางหลักจนท.รัฐต้องมีมาตรการหลักเบาตามลำดับให้ปชช.เดือดร้อนน้อยสุด ไม่ได้พิพากษากระเหรี่ยงอยู่ในเขตอุทยานได้
ด้าน น.ส.สายทิพย์ สุขคติพันธ์ รองโฆษกศาลปกครอง กล่าวชี้แจงกรณีที่มีการนำคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดไปอ้างในทำนองศาลพิพากษาว่า กระเหรี่ยงบ้านบางกลอยมีสิทธิที่จะกลับไปอยู่บ้านบางกลอยบนและบ้านใจแผ่นดินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ว่า ข้อเท็จจริง ชาวบ้านมาฟ้องคดีขอให้ศาลสั่งให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชดใช้ค่าเสียหายจากกรณีเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ รื้อถอนเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินที่บ้านบางกลอยบนและบ้านใจแผ่นดิน
โดยศาลก็ได้มีคำพิพากษายึดตาม พ.ร.บ.อุทยาน พ.ศ.2504 ว่า ชาวบ้านไม่ได้มีหลักฐานการครอบครองที่ดินก่อนการประกาศเขตอุทยาน และในคำพิพากษาศาลได้ระบุว่า ถึงแม้จะอยู่ในเขตอุทยาน แต่การใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อุทยานก็ต้องอยู่ภายใต้หลักบริหารงานทางปกครอง ต้องใช้มาตรการหนักเบาตามลำดับขั้นเพื่อให้มีผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด จึงนำไปสู่คำพิพากษาให้กรมอุทยานฯชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ได้มาจากการฟ้องคดีโดยตรงว่า ชาวบ้านมีสิทธิที่จะอยู่ในเขตที่กำหนดว่า เป็นเขตอุทยานหรือไม่ หากมีการฟ้องในประเด็นนี้ ศาลก็ต้องมีการนำสืบพยานหลักฐานในอีกลักษณะหนึ่ง