เมื่อวันพุธที่ 8 กรกฏาคมที่ผ่านมา ผมได้รับเกียรติจากคุณสุทธิชัย หยุน ให้สัมภาษณ์ผมออกในรายการของท่าน ซึ่งหนึ่งในบทสนทนามีเรื่องของตลาดในกลุ่ม CLMV ทั้งหมดถึงผลกระทบจากการระบาดของ COVID19 ซึ่งผมได้พูดแตะไปที่อิทธิพลของจีนที่มีต่อประเทศลาวและกัมพูชาไปนิดหน่อย แต่ยังไม่ได้พูดถึงที่มีต่อเมียนมา ก็ได้มีคำถามมาจากเพื่อนๆที่เป็นแฟนคลับว่า แล้วประเทศเมียนมาได้รับอิทธิพลของจีนมาน้อยแค่ไหน ผมคิดว่าคำตอบท่านผู้ถามย่อมทราบดีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้เป็นประโยชน์ หรือเป็นอุทาหรณ์ให้เราๆท่านๆที่เป็นคนไทยด้วยกัน ให้พึงสังเกตุและระมัดระวังเอาใว้ เราน่าจะนำมาโพสต์ลงในคอลัมม์นี้จะเป็นประโยชน์มากกว่า แต่ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าคงแตะมากๆหรือลงลึกๆไม่ได้ เพราะอาจจะไปกระทบกระเทือนถึงหลายภาคส่วนครับ
ปัจจุบันนี้เราทราบกันดีถึงบทบาทของจีนต่อภูมิภาค CLMVT ว่าเขามีบทบาทอย่างมาก เรามาเริ่มกันจากประเทศกัมพูชาก่อน จะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นที่เมืองสีหนุวิลล์ (Sihanoukville) บางเขต ซึ่งเข้าไปแล้วเสมือนเข้าไปอยู่ในประเทศจีนยังไงยังงั้น อัทธิพลทางการค้า-การลงทุนที่นั่น เกือบจะเรียกว่าที่นี่ถูกจีนเอาไปเกือบหมดแล้ว พอโควิทเข้ามาเมืองนี้แทบจะเป็นเมืองร้าง ชาวจีนแห่กลับบ้านกันหมด สายการบินที่เคยบินวันละหลายเที่ยวบิน ปัจจุบันนี้ต้องนับเป็นสัปดาห์ว่าในหนึ่งสัปดาห์มีไม่กี่เที่ยวบิน เรียกว่าโหลงเหลงมาก ส่วนในเมืองหลวงพนมเปญเองก็ไม่ค่อยต่างกันเลยครับ
มาดูที่ประเทศลาวต่อนะครับ ปัจจุบันนี้ไม่ว่าเมืองเล็กเมืองน้อยในลาว นอกจากที่ผมพูดมาตลอดว่า ถูกชาวจีนบุกเข้าไปยึดตลาดเรียบร้อยหมดแล้ว เนื่องจากพี่น้องชาวลาวนั้น มีอุปนิสัยที่สบายๆ ไม่ค่อยจะรีบร้อนหรือกระตือรือล้นมากนัก เช้าตื่นมาทานข้าวเช้าแบบใจเย็นๆ พอไปทำงานเที่ยงกลับบ้านทานข้าวเสร็จก็นอนพักผ่อนตามอัธยาศัย บ้างก็ไปพักผ่อนตามแหล่งท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม ร้องรำทำเพลงดื่มเหล้าดื่มเบียร์กัน บ่ายๆค่อยกลับมาเข้าที่ทำงานกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เข้าทางคนขยันอย่างจีนสิครับ กวาดเรียบเลยคราวนี้ นี่คือลาว
ในขณะที่ประเทศเวียดนาม แม้ในระดับบนดูเหมือนจะมีอะไรในใจกันนิดๆ เคยมีการสู้รบปรบมือกันมาก่อน แต่ในส่วนของการค้า-ขาย ระดับประชาชนทั่วไปเขาก็ยังต้องใช้สินค้าจีนหรืออาศัยตลาดจีนเป็นแหล่งส่งออกอยู่ดี ท่านลองไปที่ทางภาคเหนือของเวียดนาม เช่นที่เมืองหล่างเซิง(ชายแดนเหนือตะวันออก) หรือเมืองเลาก๋าย(ชายแดนเหนือตะวันตก)ดูสิครับ จะเห็นการค้าชายแดนคึกคักแค่ไหน สินค้าจะมีทั้งเข้าและทั้งออก รถสิบล้อรถพ่วงใหญ่ๆ เข้าแถวกันยาวเยียด หรือไปเดินดูสินค้าที่เขตเจอะเลิ่น (ตลาดไชน่าทาวน์) ในเมืองเศรษฐกิจอย่างเมืองโฮจิมินห์ จะเห็นสินค้าจีนมาแทนที่สินค้าไทยในอดีตไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว เราจะมัวมาหลงตัวเองว่าเราเป็นผู้นำสินค้าในแถบอินโดจีนอยู่อีกต่อไปไม่ได้แล้วครับ นั่นเป็นการหลอกตัวเองชัดๆครับ ซึ่งจะทำให้เราเสียตลาดไปอย่างน่าเสียดาย อย่าลืมว่าการเป็นแชมป์เปี้ยนนั้นยากมาก แต่การรักษาแชมป์เปี้ยนนั้นยากยิ่งกว่าหลายร้อยเท่านะครับ
มาดูที่เมียนมาบ้างครับ ปัจจุบันนี้การรุกคืบของจีนที่มีต่อเมียนมานั้น จะดูว่าเขาให้ความสำคัญมากน้อยแค่ไหน ท่านต้องย้อนไปดูเหตุการณ์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาครับ ในช่วงนั้นกำลังเกิดสงครามการค้าระหว่างยักษ์ใหญ่ของโลกสองประเทศ ทางการสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ได้พยายามจะยุติข้อพิพาทกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยการเชิญผู้นำจีนไปอเมริกาเพื่อไปลงนามยุติความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ในวันที่ 15 มกราคม 2020 ทางการจีนได้ส่งตัวแทนท่านผู้นำคือรองนายกรัฐมนตรี หลิว เฮอ ไปแทนท่านประธานาธิบดี สี เจี้ยน ผิง ซึ่งตัวท่านเองกลับมาเยือนประเทศเมียนมาในวันที่ 17-18 มกราคมแทน เพื่อลงนาม MOUในการพัฒนาประเทศเมียนมาทั้งหมด 30 ฉบับ พอหลังจากนั้นไม่นาน ผลที่ตามมาจาก COVID19 แทนที่จีนจะหยุดหรือชะลอการลงทุน เขากลับไม่หยุดนะครับ เราจะเห็นข่าวการร่วมมือการลงทุนในเมียนมาออกมาตลอด ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นย่อมหมายความว่า ทางการจีนได้ให้ความสำคัญต่อตลาดเมียนมามาก และหากมองให้ลึกๆลงไป เขาได้สนใจอะไรในตัวสาวน้อยบ้านนอกอย่างเมียนมาเข้าแล้วละครับ
นอกจากเป็นตลาดที่เปิดใหม่แล้ว เมียนมายังมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในแถบภูมิภาคนี้ และการแพร่อิทธิพลทางเศรษฐกิจ โดยการอาศัยโครงการ One Belt One Road นั้น เป็นการสร้างความเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคที่จะใช้ในการคานอำนาจของสหรัฐอเมริกา เพราะในด้านภูมิศาสตร์จีนมีความได้เปรียบกว่าอเมริกาเยอะ อีกทั้งหากมีความขัดแย้งไม่รู้จักจบ ตลาด CLMVT ยอดรวมของประชากร ยังไม่น้อยหน้าตลาดสหรัฐอเมริกาเลย และข้อจำกัดด้านกฏหมาย ตลาดนี้ยังอ่อนด้วยกว่าตลาดอื่นๆอีกมาก การที่จะใช้นโยบายด้านต่างๆก็ง่ายกว่าตลาดยุโรป-อเมริกามาก
อีกประการหนึ่ง การทำการตลาดในประเทศด้อยพัฒนา ย่อมง่ายกว่าตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว ถ้าอยากจะยึดเอาตลาดนี้ก็ไม่ยากเย็นเท่าไหร่นักสำหรับมืออาชีพด้านการตลาดอย่างพ่อค้าจีน นอกจากนี้ปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว การตลาดออนไลน์หรือตลาดด้านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก จีนเป็นเจ้าพ่อด้านนี้อยู่แล้ว เขาเพียงใส่โปรแกรม AI ลงไปในหัวสมองคนแถบนี้ พอรับรู้และเสพติดไปแล้ว ทุกอย่างจะเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปเลยครับ
เห็นมั้ยละครับ หากเราไปมัวชะล่าใจ นึกตลอดเวลาว่าสินค้าไทยเราดี คุณภาพดีกว่าเขา ราคาเหมาะกับตลาดนี้ สินค้าไทยเราเก่ง ผู้บริโภคชมชอบสินค้าไทยมากกว่าของประเทศอื่น ฯลฯ อีกไม่นานนะครับ ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่านะครับ